เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1859 เลือดสาดกระจาย
ตอนที่ 1,859 เลือดสาดกระจาย
หวังเฟิงหลิวเดินนำหน้าไปพร้อมด้วยยอดฝีมือจากกองโจรกระบี่อวตารอีกสี่คน ก่อนกระโจนลงไปหากลุ่มคนของหอการค้าไท้กู่ที่อยู่ด้านล่าง เห็นลำแสงสีเงินเป็นประกายวูบวาบ แล้วผู้คุ้มกันของหอการค้าก็ร่างระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปเกือบสิบคน…
นับเป็นการลงมือที่ดุดันอำมหิตอย่างแท้จริง
นี่คือพลังที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรา
ส่วนผู้คุ้มกันของกองโจรคนอื่น ๆ ก็ประกบหลินเป่ยเฉินซ้ายขวา คอยรักษาความปลอดภัยให้เขาราวกับเป็นไข่ในหิน โดยมีหวังเฟิงหลิวบุกทะลวงเปิดทางหนีอยู่ด้านหน้าสุด พวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในลักษณะกรวยสามเหลี่ยม เปลี่ยนให้คนของหอการค้าไท้กู่ต้องถึงแก่ความตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ม่านโลหิตก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า เศษกระดูกปลิวว่อน
เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่รู้จบ
ภายใต้การสะบัดสายแส้ของหวังเฟิงหลิว ผู้คุ้มกันจากหอการค้าไท้กู่ก็ลอยกระเด็นออกไป หัวหน้าหน่วยของพวกเขาที่ชื่อว่าเหยียนเจิ้งพยายามเข้ามาสกัดขัดขวาง แต่สุดท้ายก็ถูกสายแส้ฟาดลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวน
เห็นได้ชัดว่าคนของกองโจรกระบี่อวตารนั้นมีความแข็งแกร่งมากกว่าคนของหอการค้าไท้กู่หลายเท่า พวกเขาปกป้องหลินเป่ยเฉินอยู่ตรงกลาง โดยที่เด็กหนุ่มยังไม่ได้รับรอยขีดข่วนเลยแม้แต่รอยเดียว
“นายท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าน้อยจะปกป้องนายท่านเอง”
หวังเฟิงหลิวแสดงความห้าวหาญออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “มีผู้ใดอยากจะขวางทางข้าอีกบ้าง?”
ทว่าคนของหอการค้าไท้กู่กลับไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นพวกเขาก็กรูเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย
“ให้ตายสิ พวกมันไม่กลัวตายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หวังเฟิงหลิวอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
ห่างออกไปไม่ไกล
บนหอสังเกตการณ์ที่มีความสูงเท่ากับตึกหลายสิบชั้น ชายวัยกลางคนร่างบึกบึนยืนอยู่ด้านหลังราวกั้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หลินเป่ยเฉินตลอดเวลา
นี่หรือคือเด็กหนุ่มที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์?
เด็กหนุ่มที่ทำลายแผนการของเผ่ามนุษย์ทะเลทรายในอาณาจักรซือเว่ยอย่างไม่เหลือชิ้นดีคือคนคนนี้อย่างนั้นหรือ?
แม้ขั้นพลังจะยังขึ้นไม่ถึงระดับจอมเทพจักรา แต่ร่างกายของเขาก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนั้นแล้ว?
ชายวัยกลางคนเฝ้าสังเกตด้วยความระมัดระวัง
น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินอยู่ภายใต้การคุ้มกัน เด็กหนุ่มจึงไม่ได้แสดงฝีมือออกมา
“นายท่านขอรับ พวกเขาจะหลบหนีปะปนไปกับกลุ่มผู้คุ้มกันของพวกเราแล้ว ให้หยุดการโจมตีก่อนไหมขอรับ?”
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีดำผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาค้อมศีรษะถามด้วยความเคารพ
“หึ ๆ จะหยุดเพื่ออะไร?”
ชายวัยกลางคนยิ้มจนเผยให้เห็นฟันที่แหลมคมเหมือนฟันเลื่อย “ไม่ต้องหยุด บอกให้คนของพวกเราโจมตีต่อไป”
ผู้จัดการสาขาของหอการค้าไท้กู่ ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ที่สวมใส่ชุดเกราะสีดำนั้นถึงกับมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที “ใต้เท้ากู่ แต่มันอาจทำให้คนของเราได้รับบาดเจ็บนะขอรับ…”
“แต่พวกมันก็เป็นคนของข้าไม่ใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนร่างบึกบึนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกมันอยู่ในการเลี้ยงดูของข้ามาโดยตลอด วางใจเถอะ ก็แค่กลุ่มเศษสวะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เป็นหรือตายก็มีค่าไม่ต่างกัน ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วนะ… เจ้าแค่ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ นอกเหนือจากนั้นเจ้าก็ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น หากเจ้าทำตามคำสั่งของข้าได้ดี เจ้าก็จะได้รับการบรรจุเข้าสู่สภาศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจหรือไม่?”
โจวต้าเฟิงได้ยินดังนั้นก็ต้องเบิกตาโตด้วยความดีใจ “ขอบคุณมากขอรับ ใต้เท้า… ฮ่า ๆๆ พวกเรายิงเข้าไป ยิงปืนใหญ่ต่อไปอย่าได้หยุด”
แม้จะมีผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
แต่เมื่อแลกกับตำแหน่งที่สูงส่งในสภาศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็ไม่ได้ทำให้โจวต้าเฟิงเกิดความลังเลอีกแล้ว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
กระสุนปืนใหญ่ที่มีอานุภาพเพียงพอในการทำอันตรายผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักราถูกยิงเข้าใส่ฝูงชนไม่ต่างจากสายฝนเทกระหน่ำ
คลื่นพลังระเบิดรุนแรง ผู้คนตกตายเป็นบริเวณกว้าง
คนของหอการค้าไท้กู่ต้องถูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิดเสียชีวิตร่างกายแหลกสลายไม่ต่ำกว่าสี่สิบคน และมีอีกหลายสิบคนที่รอดชีวิตมาโดยที่แขนขาขาดกระเด็น ต้องส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนายิ่ง
ทางด้านคนของกองโจรกระบี่อวตารก็ต้องเสียชีวิตไม่น้อยเช่นกัน องครักษ์มือดีของพวกเขาต้องสิ้นชีพตายคาที่ไปถึงเจ็ดคน
บริเวณที่หลินเป่ยเฉินหลบหนีมาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เขารีบใช้ร่างกายของตนเองปกป้องเยว่หงเซียง
คลื่นแรงระเบิดจากกระสุนปืนใหญ่กระแทกเข้าใส่ร่างกายหลอมละลายชุดเกราะเงิน แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายหลินเป่ยเฉินได้เลยสักนิด
นี่ทำให้เด็กหนุ่มสามารถประเมินพลังทำลายล้างของกระสุนปืนใหญ่ได้ทันที
หลังจากนั้น ผู้คุ้มกันของกองโจรกระบี่อวตารก็รีบก่อตั้งค่ายกลขนาดเล็กและใช้เลือดเนื้อของตนเองปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่พวกของหลินเป่ยเฉินโดยไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง
ในขณะนี้ เยว่หงเซียงก็สวมใส่เครื่องแบบนักรบแล้วเช่นกัน ผมยาวหยักศกสีน้ำตาลแดงของนางถูกรวบเป็นหางม้า เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของนางแดงก่ำไม่ใช่เพราะการสวมกอดของหลินเป่ยเฉิน แต่เป็นเพราะเด็กสาวกำลังโคจรพลังเต็มอัตรา เยว่หงเซียงโบกสะบัดสองมือพลิ้วไหว สร้างค่ายอาคมขึ้นมาด้วยมือเปล่า และเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ม่านพลังกึ่งโปร่งแสงก็สว่างไสวป้องกันการโจมตีจากรอบด้านให้แก่ทุกคน
ไม่มีคลื่นแรงระเบิดจากลูกกระสุนปืนใหญ่สามารถทะลุผ่านม่านพลังเข้ามาได้อีก
แม้แต่ลูกระเบิดที่ถูกยิงเข้ามาก็ทำอะไรม่านพลังของเยว่หงเซียงไม่ได้
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงไม่น้อย
เพียงระยะเวลาไม่กี่วันที่เยว่หงเซียงได้มาอยู่ในโลกใบใหม่ ทักษะการสร้างค่ายอาคมของนางก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
เมื่อเห็นแววตาตกตะลึงของหลินเป่ยเฉิน หัวใจของเยว่หงเซียงก็พองโตอย่างมีความสุขในชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในที่สุด เขาก็เริ่มประหลาดใจในความแข็งแกร่งของนางแล้วใช่หรือไม่?
เยว่หงเซียงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าสงบสุขุมว่า “นี่คือค่ายอาคมโอบฟ้าเจ้าค่ะ ข้าคิดค้นขึ้นมาด้วยตนเอง พวกเรารีบใช้โอกาสนี้หลบหนีออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วโป้งให้นางด้วยความชื่นชม
ประเสริฐ
ไม่เสียทีที่เขาอุตส่าห์พาตัวเยว่หงเซียงมาสู่โลกใบใหม่ด้วยกัน
หลินเป่ยเฉินรีบหันมองรอบกาย แต่ก็ยังไม่เห็นอากวงกับหวังจง เด็กหนุ่มเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่ได้คิดทำสิ่งใด
เพราะเขามีหน้าที่คอยปกป้องฉู่เหินกับเซียวปิงและคนอื่น ๆ
การต่อสู้ในระดับนี้เกินกำลังของผู้คนที่มาจากอาณาจักรซือเว่ย หากไม่นับเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เป็นรอง แม้แต่ขุมกำลังของพวกเขาก็สู้กับคนจากหอการค้าไท้กู่ไม่ได้ อีกฝ่ายนั้นมีกำลังพลอยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ พวกที่อยู่ในระดับหัวหน้าก็อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรา หรือต่อให้เป็นผู้คุ้มกันระดับล่าง ก็ยังอยู่ในขั้นจอมเทพตอนปลาย…
หากให้ปะทะหักล้างกันโดยตรง ไม่มีทางที่พวกของหลินเป่ยเฉินจะสู้ได้เด็ดขาด
ตู้ม!
กระสุนปืนใหญ่ถูกยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
และกลายเป็นคนของหอการค้าไท้กู่เองที่ถูกลูกกระสุนปืนใหญ่ระเบิดตายนับไม่ถ้วน
“ถล่มมารดามันเถอะ”
หวังเฟิงหลิวคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด “ตัวชั่วช้าเหล่านี้เสียสติกันไปแล้วหรือไร? พวกมันถึงกับระเบิดพวกเดียวกันเองเลยเนี่ยนะ?”
ไม่ปกติ
นี่ไม่ใช่หลักการของหอการค้าไท้กู่
เหตุการณ์ในวันนี้แปลกประหลาดมากเกินไป
หรือว่า…
ดวงตาของหวังเฟิงหลิวเป็นประกายวูบ แล้วทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ทุกคนรีบคุ้มกันคุณชายหลินหลบหนีไป”
หวังเฟิงหลิวร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ตงฉิงซาน โจวเพ่ยอวี่ พวกเจ้าสองคนติดตามข้าไปถล่มพวกเรือเหาะปืนใหญ่เหล่านั้น…”
“ขอรับ”
“ขอรับ”
ผู้คุ้มกันของกองโจรกระบี่อวตารสองคนรับคำสั่งอย่างไม่ลังเล
พวกเขาล้วนมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักรา
แต่ในลมหายใจต่อมา…
“ฝากคุ้มกันคนของข้าด้วย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูของทุกคน
วูบ!
แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งเป็นลำแสงออกไปนอกค่ายอาคม
เป็นร่างของหลินเป่ยเฉินเอง!