เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1865 รอคอยเวลา
ตอนที่ 1,865 รอคอยเวลา
สำหรับหลินเป่ยเฉิน เหตุผลที่เขาช่วยชีวิตพวกของหวังเฟิงหลิวนั้น เป็นเพราะว่าพวกของหวังเฟิงหลิวเคยช่วยเหลือเขามาก่อน แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะมีความสนิทสนมกันมากพอที่จะปล่อยให้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินตงเต้าได้
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงต้องทำให้พวกของหวังเฟิงหลิวหมดสติลงไปก่อน
เดี๋ยวกลับไปที่เส้นทางดาราจักรเมื่อไหร่ ค่อยปลุกขึ้นมาแล้วกัน
ส่วนพวกของเยว่หงเซียง เซียวปิงและฉู่เหิน ทั้งสามคนในขณะนี้ร่างกายของพวกเขาสามารถปรับตัวได้แล้ว พวกเขากำลังลุกขึ้นยืน หันมองรอบกายเลิ่กลั่ก
“กลับมาที่นี่หรือ?”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“พวกเรากลับมาอยู่ที่เมืองหยุนเมิ่งได้อย่างไร? นี่มัน…”
ทั้งสามคนมีสีหน้าตกตะลึงและหันมามองหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
เมื่อไม่กี่ลมหายใจก่อน พวกเขายังคงอยู่ในเส้นทางขนส่งของกลุ่มพันธมิตรโกลาหล แต่เพียงลมหายใจต่อมา ทุกคนก็มาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองหยุนเมิ่งเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเหล่านี้เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เหตุไฉนจึงเดินทางได้รวดเร็วเช่นนี้?
“ฮ่า ๆๆ ไม่ต้องตกใจหรอก ข้าเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็วฉับไวเสมอนั่นแหละ”
ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินขาวซีดจนน่าตกใจ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ตัวคนหมดแรง ระหว่างที่พูดก็ทำท่าจะล้มพับลงไป
ฉู่เหินเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยประคอง
แต่ผู้ใดจะรู้เลยว่าร่างกายของหลินเป่ยเฉินกลับล้มลงได้อย่างฝืนธรรมชาติยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าฉู่เหินวิ่งเข้ามาหาเพื่อจะช่วยประคอง ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับเอนล้มไปฝั่งตรงกันข้ามและเข้าสู่อ้อมแขนของเยว่หงเซียงได้อย่างน่ามหัศจรรย์
ฉู่เหินถึงกับใบหน้ากระตุก
เจ้าลูกเต่าเอาอีกแล้ว
สีหน้าของเยว่หงเซียงไม่ได้แปรเปลี่ยนไป นางประคองหลินเป่ยเฉินด้วยสองมือพร้อมกับถามว่า “พวกเราเดินทางด้วยอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุใช่ไหมเจ้าคะ? หรือว่าท่านใช้งานค่ายอาคม? หรือว่า…”
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาขบคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้บอกไปว่าแผ่นดินตงเต้ากลายเป็นอาณาเขตส่วนตัวของเขาแล้ว และเขาจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ตามใจปรารถนา แต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มอย่างผู้ชนะและตอบว่า “นี่เป็นวิชาเวทมนตร์เฉพาะตัวที่ข้าเพิ่งฝึกฝนมา มันเรียกว่าวิชา ‘กลับบ้านเรารักรออยู่’ น่ะ”
ในเมื่อเมืองหยุนเมิ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรักและทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มขึ้นที่นี่ แล้วทำไมเขาจะตั้งชื่อมันว่าวิชากลับบ้านเรารักรออยู่ไม่ได้ล่ะ?
พวกของฉู่เหินหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
นี่คือวิชาที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
ถึงกับสามารถเดินทางข้ามภพภูมิได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว?
การที่มีความสามารถหลบหนีออกมาจากค่ายกลของคู่ต่อสู้ตามใจปรารถนาได้ทุกเมื่อนั้น นี่ย่อมเป็นความแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้วไม่ใช่หรือ?
นี่มันวิชาแห่งเทพเจ้าชัด ๆ
“แต่ว่าวิชานี้ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อเรากลับไปที่เส้นทางดาราจักรเมื่อไหร่ เราก็จะไปปรากฏตัวอยู่ในตำแหน่งเดิมที่พวกเราจากมา หากพวกศัตรูยังคงเฝ้ารอเราอยู่ที่เดิม นั่นก็คงเป็นเรื่องที่อันตรายมากแล้ว”
“ว่าไงนะ? แล้วข้าจะได้กลับไปที่นั่นหรือไม่?”
ฉู่เหินแสดงสีหน้าตกตะลึงมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า
เซียวปิงเองก็ตกใจจนเผลอทำไส้กรอกหลุดมือไปเช่นกัน “แล้วพี่ใหญ่จะพาพวกเรากลับไปได้ไหมขอรับ? การเดินทางจะรวดเร็วเหมือนตอนขามาหรือไม่?”
ดวงตาที่สวยงามของเยว่หงเซียงเต็มไปด้วยความมึนงงสงสัย
การพาผู้คนออกจากอันตรายได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ตอนที่กลับไป พวกเขายังต้องกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมอีกหรือ?
นี่ไม่ใช่วิชาเวทมนตร์แล้วกระมัง?
แต่มันน่าจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวมากกว่า
หลินเป่ยเฉินเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วเช่นกัน การที่เขาวาร์ปไปวาร์ปมาในตำแหน่งเดิมนั้น มันก็ควรเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ?
แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญซะด้วยสิ
“พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้กันเลยดีกว่า ข้าต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บก่อน ทุกคนเองก็พยายามฟื้นฟูพลังเข้าเถอะ”
หลินเป่ยเฉินโน้มตัวซบไหล่อันอ่อนนุ่มของเยว่หงเซียงและกล่าวว่า “พวกท่านช่วยดูคนของกองโจรกระบี่อวตารให้ข้าด้วย ถ้าพวกเขาทำท่าจะฟื้นขึ้นมา ก็ให้ทุบหัวให้สลบต่อไปตามเดิม พวกเขาจะได้ไม่รู้ความลับเกี่ยวกับแผ่นดินตงเต้าของเรา เพราะเราจะให้ผู้ใดรู้เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด”
ฉู่เหินยิ้มกริ่ม ยกมือทุบหน้าอกด้วยความมุ่งมั่น ตอนที่กำปั้นเหล็กของเขากระแทกหน้าอกนั้น ก็เกิดสะเก็ดไฟกระจายออกมา
“ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะทำหน้าที่คอยทุบหัวพวกเขาให้เอง รับรองว่าพวกเขาไม่มีทางฟื้นขึ้นมาเด็ดขาด”
อาจารย์ฉู่เหินกล่าวด้วยความมั่นใจ
และแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือของเขานั้นเมื่อไปอยู่ในเส้นทางดาราจักรและได้รับการฝึกฝนวิชาต่าง ๆ ความเปลี่ยนแปลงก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง และบัดนี้ แขนกลของอาจารย์ก็สามารถใช้เป็นอาวุธโจมตีและใช้เป็นเครื่องมือป้องกันได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ
เมื่อเห็นสะเก็ดไฟที่กระเด็นออกมาจากกำปั้นเหล็กของฉู่เหินแล้ว หลินเป่ยเฉินก็อดนึกเวทนาพวกของหวังเฟิงหลิวขึ้นมาไม่ได้ เขารู้สึกลำบากใจเล็กน้อยตอนที่ออกคำสั่งว่า “งั้นก็อย่าเบามือ โปรดทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสลบไม่ฟื้นขึ้นมากลางคันอีก”
หลินเป่ยเฉินกินยาแก้ปวด วิตามินและอาหารเสริมที่ซื้อมาจากในอินเทอร์เน็ต ต่อด้วยยาบำรุงร่างกายอีกหลายชนิด เด็กหนุ่มกรอกยาเข้าปากในครั้งเดียว และเมื่อกลืนลงคอไปแล้ว… เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าความอ่อนล้าในร่างกายสลายหายไป ไม่มีอาการเจ็บปวดตามช่วงเอวและหัวเข่าอีกแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินรู้ถึงขีดจำกัดในร่างกายของตนเอง การใช้งานวิชาแปดชั้นฟ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น เกือบจะทำให้ร่างกายของเขารับไม่ไหวจนเกิดความเสียหายใหญ่หลวง
หลินเป่ยเฉินตระหนักชัดเจนว่ากระบวนท่าต่าง ๆ ของวิชาแปดชั้นฟ้านั้นยังสามารถโจมตีได้อย่างหนักหน่วงมากกว่านี้ เพียงแต่ร่างกายของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว การโจมตีจึงมีความรุนแรงได้เพียงเท่านี้เอง
เพราะฉะนั้น ต้องรีบหาทางเลื่อนขั้นพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด
เมื่อเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น หลินเป่ยเฉินซึ่งฟื้นคืนพลังขึ้นมาได้หลายส่วนแล้วก็นำตัวผู้คนกลับไปยังสุสานกษัตริย์
พลังปราณในอาณาจักรซือเว่ยมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าพลังปราณในแผ่นดินตงเต้า
หากต้องการจะฟื้นฟูพลังให้เต็มที่ ก็มีแต่ต้องมาเก็บตัวที่นี่เท่านั้น
และในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็กลับมาควบคุมภารกิจการออกกำลังกายด้วยแอปพลิเคชัน Keep ด้วยตนเอง
อีกไม่เกินสามวัน ภารกิจต้องสำเร็จลุล่วง
เมื่อถึงตอนนั้น หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองจะต้องเลื่อนขั้นขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพจักราตอนปลายได้สำเร็จ
และเขาก็จะสามารถเอาชนะกู่โจวได้อย่างแน่นอน
…
เส้นทางหวังกง
ดาวเคราะห์อิ๋งอวี่
ติ๋ง! ติ๋ง! ติ๋ง!
โลหิตสีทองคำไหลหยดลงมาจากปลายหอกแหลมสีเงิน
“ท่าน...”
หนงซินซานผู้อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักราระดับ 5 ยกมือขึ้นกุมบาดแผลบริเวณหน้าอกตรงหัวใจ ดวงตาเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ กล่าวว่า “มีความแข็งแกร่ง… ระดับนี้ได้อย่างไร?”
เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าองค์ชายหลิงหวงฉีที่ควรจะเป็นเหยื่ออันโอชะของเขานั้น กลับมีฝีมือการต่อสู้ร้ายกาจถึงเพียงนี้ หนงซินซานยังไม่ทันได้สัมผัสตัวองค์หญิงไข่มุกขาวเลยด้วยซ้ำ ตนเองก็ถูกองค์ชายหลิงหวงฉีโจมตีจนเกือบตายแล้ว
“มนุษย์ทะเลทรายอย่างพวกเจ้าดีแต่สร้างปัญหาก่อความวุ่นวายจริง ๆ”
หลิงเฉินยืนถือค้อนคว่ำนภาอยู่ในมือ สีหน้าแววตาของนางมีแต่ความเย็นชา เหยียดหยามและเย้ยหยัน ไม่ต่างจากเทพธิดาสาวผู้สูงส่ง “ครั้งสุดท้ายที่พวกเราพบกันในอาณาจักรซือเว่ย เจ้าใช้ความสงสารของข้าหลอกล่อให้พวกเราไปติดกับดัก แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าจะได้ตำแหน่งองค์หญิงไข่มุกขาวมาเพียงเพราะมีสายเลือดกษัตริย์เท่านั้น? เจ้าคิดหรือว่าข้าจะเป็นเพียงองค์หญิงผู้อ่อนแอที่ผู้ใดก็สามารถรังแกได้ง่าย ๆ? เผ่ามนุษย์ทะเลทรายอย่างพวกเจ้ามีความคิดตื้นเขินถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ความรู้สึกอันขมขื่นใจปรากฏขึ้นในแววตาของหนงซินซานพร้อมด้วยความหมดหวัง
ประโยคคำพูดของหลิงเฉินไม่ต่างจากค้อนเหล็กที่กระหน่ำฟาดลงกลางหัวใจ
นั่นทำให้ชายวัยกลางคนตัวสั่นเทา
และทำให้เขาทราบว่าตนเองคิดผิดถนัด
เขาไม่ควรส่งเสริมแผนการของนายท่านตั้งแต่แรกเลย
ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ใช่องค์ชายหลิงหวงฉี
แต่เป็นเด็กสาวหน้าตาผ่องใสลักษณะท่าทีอ่อนแอไร้เดียงสาผู้นี้ต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคล่องตัว ความอดทน ความแม่นยำ ความดุร้ายหรือพละกำลัง องค์หญิงไข่มุกขาวไม่ขาดสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว
นับเป็นเด็กสาวที่น่ากลัวมากเกินไป
องค์ประกอบเหล่านี้แตกต่างจากข้อมูลที่เผ่ามนุษย์ทะเลทรายได้รับทราบมาอย่างสิ้นเชิง ทั้ง ๆ ที่หนงซินซานมั่นใจว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลที่ตรวจสอบมาแม่นยำมากที่สุดแล้ว
แต่สุดท้าย ข้อมูลเหล่านั้นกลับไม่เป็นความจริง