เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1874 สำนักศึกษาฉิวจื่อ
ตอนที่ 1,874 สำนักศึกษาฉิวจื่อ
ครึ่งวันต่อมา
เยว่หงเซียง ฉู่เหิน และเซียวปิงก็ถูกนำตัวกลับมา
หวังเฟิงหลิวพร้อมด้วยลูกสมุนก็ถูกนำตัวกลับมาเช่นกัน
เมื่อได้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากปากคำของเฟิงซิงอวิ๋น หวังเฟิงหลิวก็รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขารู้สึกเหมือนตนเองพบเจออะไรบางอย่าง แต่ก็นึกไม่ออก
ทุกครั้งที่หวังเฟิงหลิวพยายามจะทบทวนความทรงจำ เขาก็จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีราวกับว่ามีใครบางคนคอยทุบศีรษะของเขาอย่างแรงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นหวังเฟิงหลิวจึงเลิกคิดไป
สิ่งที่ตามมาก็คือการตอบโต้จากกลุ่มกองโจรกระบี่อวตาร
หอการค้าไท้กู่ถูกกวาดล้าง
หลายสำนักที่สนับสนุนหอการค้าไท้กู่ก็ถูกคิดบัญชีแค้นด้วยเช่นกัน
ส่วนบรรดานักล่าค่าหัวที่มาจากต่างแดน ก็กลายเป็นฝ่ายที่ถูกล่าหัวเสียเอง
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจอยู่ดูแลความเรียบร้อยต่ออีกหนึ่งวัน หลังจากนั้น เขาก็เตรียมเดินทางออกตามหาฮันปู้ฟู่ตามแผนการเดิมต่อไป
เรือเหาะลำใหม่ถูกจัดเตรียมให้แก่คณะของหลินเป่ยเฉินเพื่อการเดินทางระยะไกล บัดนี้ จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือทิศตะวันตกในเส้นทางดาราจักร
เมื่อจัดเตรียมเสบียงทุกอย่างเรียบร้อย การเดินทางผ่านประตูขนส่งก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
การเดินทางไปสู่เส้นทางเทียนอวี่นั้นเป็นระยะทางที่ยาวไกล ระหว่างทางจำเป็นต้องผ่านเขตแดนของอาณาจักรเล่ยฉื่อและอาณาจักรเทียนชิงเสียก่อน
เมื่อคำนวณจากอัตราความเร็วของเรือเหาะลำใหม่ พวกเขาน่าจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
การเดินทางยังอีกยาวไกล
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเบื่อหน่าย ทำได้เพียงดูดซับพลังจากกู่โจวในทุก ๆ วัน
บัดนี้ กู่โจวถูกดูดซับพลังออกจากร่างกายมากมายแล้ว ผิวหนังของเขาแห้งกร้าน กระดูกผุกร่อน ดวงตาเหม่อลอย แทบไม่มีสติอยู่กับตัว
ในทางกลับกัน พลังในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ… และเขาก็กำลังจะเลื่อนขั้นในวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณได้แล้ว
แต่มีความแข็งแกร่งแล้วไม่ได้แสดงฝีมือมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
“เชี่ย แบบนี้มันประหลาดมากเกินไปแล้ว พวกเราก่อเรื่องวุ่นวายถึงขนาดนั้น ทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงไม่ส่งคนมาไล่ล่าหรือส่งคนมาลอบสังหารเราบ้างเลยนะ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
หวังเฟิงหลิวได้ยินเข้าพอดีจึงกล่าวว่า “นายท่านคงไม่ทราบว่าในขณะนี้กองทัพเป่ยเฉินมีอำนาจล้นฟ้า โดยเฉพาะในด้านของหน่วยข่าวกรอง เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงกลายเป็นที่เกรงขามของเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจไปโดยปริยาย แม้ว่าฐานบัญชาการของกองทัพเป่ยเฉินจะอยู่ในเส้นทางเทียนอวี่ แต่อิทธิพลของพวกเขาก็แผ่กระจายไปไกล ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องกับเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่จำเป็นขอรับ”
หลังจากการต่อสู้ผ่านไป หวังเฟิงหลิวก็ได้รับการแต่งตั้งจากกลุ่มกองโจรกระบี่อวตารให้เป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์พิเศษประจำตัวหลินเป่ยเฉิน
ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สูงส่งยิ่ง
หน่วยองครักษ์ประจำตัวของหลินเป่ยเฉินมีอยู่ด้วยกันสิบสองคน หนึ่งในนั้นย่อมต้องเป็นเฟิงซิงอวิ๋นผู้ไม่กลัวอันตรายและสามารถสละชีวิตของตนเองได้เพื่อปกป้องความปลอดภัยให้แก่หลินเป่ยเฉิน
นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรพรรดิอีกนับร้อยชีวิตที่พร้อมรับใช้หลินเป่ยเฉิน
แม้แต่เรือเหาะลำใหม่ของหลินเป่ยเฉินก็ยังเป็นเรือเหาะที่ใหญ่โตและหรูหรา มันได้รับการตั้งชื่อว่าเรือเหาะเซียนกระบี่อมตะ ไม่ว่าเดินทางไปยังสถานที่ใดก็ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง
แต่หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบมาว่านี่เทียบไม่ได้เลยกับความหรูหราของเรือเหาะจากกองทัพเป่ยเฉิน
นั่นหมายความว่าศิษย์พี่ฮันคงร่ำรวยไม่ใช่น้อย
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ตลอดว่าตนเองเป็นผู้ร่ำรวยมากแล้ว
แต่ดูท่าฮันปู้ฟู่คงร่ำรวยมากกว่าเขาหลายเท่า
ยิ่งต้องผูกมิตรกันเอาไว้ให้แนบแน่น
ต่อให้ตนเองจะร่ำรวยมากเพียงใด ก็อย่าได้เมินเฉยต่อมิตรสหายที่ร่ำรวยมากกว่ากันหลายเท่าเลย
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจก่อนจะเดินกลับลงไปยังห้องพักใต้ท้องเรือ เพื่อศึกษาการสร้างค่ายอาคมกับเยว่หงเซียง
…
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้ เรือเหาะเซียนกระบี่อมตะได้เดินทางมาถึงเขตแดนของอาณาจักรเล่ยฉื่อแล้ว พวกเขาหยุดตรวจที่สถานีขนส่ง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของอาณาจักรเล่ยฉื่อ
พวกเขาจำเป็นต้องเติมเสบียงและบำรุงรักษาเรือเหาะ ทำให้ต้องหยุดพักอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลาสามวันสามคืน
ด้วยความที่มีเวลาว่าง หวังจงจึงแนะนำให้หลินเป่ยเฉินพาเยว่หงเซียง ฉู่เหิน เซียวปิงและคนอื่น ๆ เช่าเรือเหาะขนาดเล็กเพื่อออกไปเยี่ยมชมชีวิตของชาวบ้านชาวเมืองในอาณาจักรเล่ยฉื่อ
ครืน!
เรือเหาะขนาดเล็กจึงแล่นออกจากสถานีขนส่งและมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่
เมื่อเรือเหาะลดระดับลงสู่ชั้นบรรยากาศด้านล่าง พวกเขาก็ได้พบกับท้องฟ้าสีครามและก้อนเมฆขาวไร้มลพิษ
ตอนที่หลินเป่ยเฉินเริ่มออกเดินทางในเส้นทางดาราจักร เขามีความสงสัยเกี่ยวกับเส้นทางดาราจักรที่คล้ายกับจักรวาลไม่รู้จักจบสิ้น และยิ่งออกสำรวจมากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านี่ไม่ได้แตกต่างไปจากจักรวาลที่เขาเคยรู้จักในชาติภพที่แล้วเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าดาวเคราะห์แทบทุกดวงในจักรวาลแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่
เมืองที่พวกเขากำลังจะลงไปสำรวจมีชื่อว่าเมืองถัวเหนียน เป็นเมืองที่มีพื้นที่กว้างใหญ่แบ่งเป็นพื้นที่บนบกครึ่งหนึ่งและพื้นที่ที่เป็นน้ำอีกครึ่งหนึ่ง
มองดูแล้วแทบไม่ต่างไปจากดินแดนในเทพนิยาย
ทัศนียภาพเต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลองและภูเขาเขียวขจี ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
ในที่สุด เรือเหาะลำเล็กของพวกเขาก็แล่นลงจอดนอกเขตภูเขาเหวินเต้า ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเมืองถัวเหนียน
เมื่อปิดการทำงานของม่านพลัง อากาศบริสุทธิ์ก็ลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
เมื่อกระโดดลงไปสัมผัสพื้นดิน หลินเป่ยเฉินก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“อาณาจักรเล่ยฉื่อนั้นถูกก่อตั้งโดยหนึ่งในยี่สิบสี่บรรพบุรุษผู้ติดตามขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และท่านผู้นั้นก็เป็นผู้ก่อตั้งสายเลือดผู้เยียวยาขอรับ โดยเฉพาะเมืองถัวเหนียนแห่งนี้ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ใช้สายเลือดผู้เยียวยา ที่นี่มีสำนักศึกษาฉิวจื่อ ซึ่งเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเส้นทางดาราจักร โดยเฉพาะผู้ที่ใช้สายเลือดผู้เยียวยานั้น ความปรารถนาสูงสุดของพวกเขาก็คือการได้เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาแห่งนี้ ในแต่ละปี มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อหวังจะสอบเข้าให้ได้ขอรับ”
หวังเฟิงหลิวดูจะมีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับดาวดวงนี้ไม่น้อย เขาจึงบอกเล่าประวัติความเป็นมาได้อย่างฉะฉาน
หืม?
หลินเป่ยเฉินได้รับฟังดังนั้นก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
นักพรตหญิงชินเคยบอกเขาว่านางจะเดินทางไปศึกษาวิชาเกี่ยวกับผู้ที่ใช้สายเลือดผู้เยียวยาโดยเฉพาะและสถานที่นั้นก็อยู่ห่างไกล นับเวลาดูแล้ว เขาและนางก็ไม่ได้พบเจอกันเลยเป็นเวลากว่าครึ่งปี
อาศัยความรู้ความสามารถของนักพรตหญิงชิน เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของสายเลือด นางน่าจะศึกษาวิชาได้อย่างก้าวกระโดดเลยทีเดียว
ไม่ทราบว่านักพรตหญิงชินจะมาสอบเข้าที่สำนักฉิวจื่อแห่งนี้หรือเปล่านะ?
หรือว่านางจะกลายเป็นลูกศิษย์ในสำนักฉิวจื่อไปเรียบร้อยแล้ว?
“งั้นพวกเราไปเยี่ยมชมสำนักฉิวจื่อกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความกระตือรือร้น
เยว่หงเซียงเป็นผู้ที่รักในการศึกษาอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงมีท่าทีกระตือรือร้นไม่แพ้กัน
ในทางกลับกัน เมื่อฉู่เหิน เซียวปิงและอากวงได้ยินคำว่า ‘สำนักศึกษา’ พวกเขาก็มีสีหน้าอ่อนเพลียขึ้นมาทันที และทั้งสามก็ขอตัวไปเดินเที่ยวในตลาดที่อยู่บริเวณเชิงเขาเหวินเต้า หลินเป่ยเฉินไม่ประหลาดใจเลยที่เซียวปิงกับอากวงไม่ชอบสำนักศึกษา แต่คนที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คืออาจารย์ฉู่ ฉู่เหินเคยเป็นถึงหัวหน้าคณาจารย์ในสำนักศึกษากระบี่ที่สามมาก่อนแท้ ๆ แต่บัดนี้ ชายชรากลับแสดงสีหน้าขยาดสำนักศึกษาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องแยกจากกันเป็นการชั่วคราว