เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1876 ข้ามีนามว่าเฉินเป่ยหลิน
ตอนที่ 1,876 ข้ามีนามว่าเฉินเป่ยหลิน
กลุ่มคนเหล่านั้นมีทั้งบุรุษและสตรี เก้าในสิบจะสวมใส่ชุดเสื้อคลุมบัณฑิตสีเหลืองอ่อน บนหน้าผากคาดผ้าโพกศีรษะ บางคนห้อยกระบี่อยู่ข้างเอว บางคนถือพัดจีบอยู่ในมือ บางคนก็มีเด็กรับใช้คอยแบกตู้ใส่ตำราขนาดเล็กตามหลัง บรรยากาศไม่ต่างไปจากในเกมออนไลน์ที่หลินเป่ยเฉินเคยเล่นมา
“น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “หงเซียง พวกเรามาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า เสี่ยวหวัง เจ้าไปซื้อชุดบัณฑิตมาให้พวกเราสักสองสามชุดเถอะ”
หวังเฟิงหลิวรีบไปปฏิบัติตามคำสั่งโดยทันที
บริเวณหน้าประตูทางเข้าสำนักศึกษาฉิวจื่อมีร้านค้าแผงลอยตั้งอยู่มากมาย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นร้านขายชุดบัณฑิต ซึ่งไม่ต่างไปจากบรรดาร้านขายอาหารนกพิราบที่ตั้งอยู่หน้าวัดในชาติภพที่แล้วของหลินเป่ยเฉิน และยังไม่ทันเข้าไปในอาณาเขตของสำนักศึกษาเลย พวกเขาก็มีเรื่องให้ต้องเสียเงินแล้ว
นับว่าสำนักศึกษาฉิวจื่อรู้จักวิธีหาเงินได้ทุกรูปแบบจริง ๆ
ในไม่ช้า หวังเฟิงหลิวก็ซื้อพัดจีบ กระบี่และเสื้อคลุมชุดบัณฑิตรวมถึงเครื่องประดับมีค่าอีกหลาย ๆ ชิ้นมามอบให้แก่หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียง
หลินเป่ยเฉินและเยว่หงเซียงเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อหันมองกันและกันก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในสำนักศึกษากระบี่ที่สามของเมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง
เยว่หงเซียงสวมใส่เสื้อคลุมบัณฑิตและโพกผ้าคาดศีรษะ ลักษณะท่าทียิ่งเป็นหญิงสาวคงแก่เรียนมากกว่าเดิม ผิวพรรณของนางขาวผ่อง คิ้วโก่งคมเข้ม ไม่ต่างจากเทพธิดาที่เพิ่งเดินออกมาจากหอคัมภีร์บนสรวงสวรรค์
หลินเป่ยเฉินมองด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
นี่เรียกว่าการถูกปลุกเร้าด้วยชุดเครื่องแบบ
ต้องยอมรับเลยว่าเยว่หงเซียงเหมาะสมกับชุดบัณฑิตจริง ๆ
หวังเฟิงหลิวผู้ยืนอยู่ด้านข้างสัมผัสได้ถึงกลิ่นของความรักที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดคำใด และได้แต่ลอบชื่นชมในใจว่ารสนิยมในการเลือกสตรีของนายน้อยช่างเลิศล้ำเหลือเกิน
เด็กสาวผู้นี้ยามปกติก็นับว่างดงามอยู่แล้ว แต่เมื่อนางสวมใส่ชุดบัณฑิตของสำนักศึกษา ความงามก็ถูกยกระดับไปอีกขั้น รัศมีของนักศึกษาผู้ทรงปัญญาแผ่ออกมาจากตัวของเยว่หงเซียง ให้ความรู้สึกของการเป็นคนสุจริต สดใสและบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบ
ในเวลานี้ สายตาของกลุ่มคนนับไม่ถ้วนล้วนพากันจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงเป็นตาเดียว
บุรุษหล่อเหลา หญิงสาวงดงาม
นับเป็นคู่กิ่งทองใบหยกจริง ๆ
เมื่อสายตาของบรรดานักศึกษาหญิงกวาดมองมาที่หลินเป่ยเฉิน พวกนางก็ต้องหยุดชะงักไปโดยทันที บางคนเอาแต่จ้องมองเขาจนเดินชนต้นไม้ ชนผู้คนหรือสะดุดก้อนหิน สุดท้ายก็ต้องล้มลงหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย… แต่ถึงกระนั้น พวกนางก็ยังแอบหันกลับมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินเป็นระยะโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ส่วนบรรดานักศึกษาชายก็จับจ้องมองไปยังเยว่หงเซียง
บางคนถึงกับอยากเข้ามาทักทายเด็กสาว แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าหลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงเป็นสหายสนิทกัน คนเหล่านั้นก็ต้องหยุดชะงักและเมื่อจ้องมองรูปลักษณ์ของหลินเป่ยเฉิน บุรุษหนุ่มทั้งหลายก็รู้สึกอับอายในตนเองจนไม่กล้าเดินเข้ามาพูดคุยอีกต่อไป
เส้นทางข้างหน้ายังคงเป็นขั้นบันไดหินที่ทอดนำขึ้นสู่ยอดเขา
ตลอดเส้นทางจะพบกับร้านขายตำรา ร้านน้ำชา ร้านสุรา ร้านอาหาร ไปจนถึงร้านขายข้าวของจิปาถะที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาตำรา
เมื่อไหร่ก็ตามที่หลินเป่ยเฉินพบเจอกับสิ่งของที่ถูกใจ เขาก็จะชี้นิ้วสั่งซื้อโดยทันที
ก็ใครใช้ให้เขาร่ำรวยขนาดนี้ล่ะ
เมื่อได้มาเดินซื้อของกับหญิงสาว สิ่งที่บุรุษพึงกระทำก็คือซื้อของให้นางเพื่ออวดความร่ำรวยของตนเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
“พวกเจ้าได้ข่าวหรือไม่? การประกาศผลสอบประจำปีนี้มีบุตรหลานจากตระกูลใหญ่มาเข้าร่วมมากมาย สำนักศึกษาและหอตำราทั่วอาณาจักรเล่ยฉื่อต่างก็ส่งลูกศิษย์ของตนเองมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะว่าพวกเขาก็มารอฟังผลสอบของตนเองเช่นกัน”
“แม้ว่าสำนักศึกษาฉิวจื่อจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา แต่พวกเขาก็เปิดรับศิษย์ใหม่ทุกปีนี่นา ทำไมปีนี้ถึงมีผู้คนมารวมตัวกันมากผิดปกติล่ะ?”
“ข้าได้ข่าวมาว่ากงซานอิ๋งเฉวี่ยน อาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของสำนักศึกษาฉิวจื่อจะมาเป็นผู้ประกาศผลสอบด้วยตนเองน่ะสิ”
“หา? ราชันแห่งความรู้ กงซานอิ๋งเฉวี่ยนเนี่ยนะ?
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“พวกเจ้ายังไม่ได้ยินข่าวอีกหรือ? ว่ากันว่ากงซานอิ๋งเฉวี่ยนตั้งใจมาเข้าร่วมงานประกาศผลสอบในปีนี้ ก็เพื่อจะค้นหาคนที่จะไปเป็นศิษย์โดยตรงของตนเอง… เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป อย่าว่าแต่ผู้คนทั่วไปเลย ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่หรือลูกศิษย์จากสำนักศึกษาต่าง ๆ ล้วนมาเข้าร่วมการสอบในปีนี้กันหมดสิ้นแล้ว”
“จริงด้วย ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมู่หรงเทียนหมอยาหญิงแห่งสำนักไทปิง ฉู่ชิงซือตัวแทนนักศึกษาจากสำนักเทียนเจี้ยว หลี่กวงอวี้จากหอคัมภีร์ตงหลิน เฉาซูอี้จากหอตำราซางฉี โจวเฉิงเฉิงจากสำนักศึกษาเซวียนเติ้ง เฉียวฟู่จากสำนักชูซาน ซือเหรินเฉินจากสำนักเซวี่ยไห่… นักศึกษาคนดังเหล่านี้ต่างก็เข้าร่วมการสอบประจำปีนี้ของสำนักศึกษาฉิวจื่อทั้งสิ้น”
“จริงหรือ? งั้นการสอบปีนี้คงคึกคักน่าดูเลยสินะ”
ระหว่างทางขึ้นเขา หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินบทสนทนาประมาณนี้ดังขึ้นตลอดเวลา
ด้วยเหตุว่าผู้คนพยายามพูดคุยเสียงดังเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากหลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียง เพื่อหวังว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขานั่นเอง
แต่น่าเสียดายที่กลุ่มคนเหล่านั้นไม่สมหวังในสิ่งที่ต้องการ
ถึงอย่างไรบุรุษที่หล่อเหลากับหญิงสาวที่งดงามก็มีภูมิต้านทานความสนใจจากคนโดยรอบอยู่พอสมควร
และจากการรับฟังบทสนทนาเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้รับทราบแล้วว่าเพราะเหตุใดบริเวณเชิงเขาเหวินเต้าถึงได้มีผู้คนมารวมตัวกันอยู่มากมายนัก
สำนักเทียนเจี้ยวเป็นสำนักศึกษาระดับสูง
สำนักศึกษาเซวียนเติ้งก็มีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
สำนักไทปิงยิ่งไม่เคยตกเป็นรองผู้ใด
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบเลยว่านักพรตหญิงชินจะมาเข้าร่วมการประกาศผลสอบในครั้งนี้หรือไม่
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก็ลงความเห็นว่าถึงไม่มีสิ่งใดรับประกันว่านักพรตหญิงชินจะสอบผ่านการคัดเลือก แต่ด้วยคุณสมบัติของนาง นักพรตหญิงชินต้องมารับฟังผลสอบอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหลายวัน โดยหวังว่าจะมีโอกาสได้พบเจอนักพรตหญิงชินสักครั้ง
หรือถ้ามีวาสนาได้พบเจอกับราชันแห่งความรู้ก็คงจะดีไม่น้อย
เพราะโอกาสที่จะได้พบเจอบุคคลระดับสูงเช่นนี้มีไม่บ่อยครั้งนัก
ในขณะที่เดินขึ้นเขาต่อไป ถนนดินก็เปลี่ยนเป็นขั้นบันไดหิน
เริ่มมีอาคารบ้านเรือนผู้คนปรากฏให้เห็นในสายตา สภาพแวดล้อมมีความสวยงามและเงียบสงบมากขึ้น บรรยากาศโดยรวมงดงามไม่ต่างจากภาพวาดในเทพนิยาย
แต่ก็ยังมีผู้คนเดินไปเดินมาเป็นจำนวนมาก
ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นคนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว
“สหายได้โปรดหยุดก่อน”
บัณฑิตหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามาหา “สหายได้โปรดหยุดก่อน”
“หืม? ไม่ทราบว่าสหายมีเรื่องอันใดหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหยุดเท้าและกล่าวทักทายด้วยความสุภาพ
“ข้ามีนามว่าปู้ชิวเหริน เป็นตัวแทนจากสำนักซิงเสวี่ย”
บัณฑิตหนุ่มประสานมือโค้งคำนับ หางตาชำเลืองมองไปที่เยว่หงเซียง กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อม “ข้าพบเห็นสหายมีสง่าราศีแตกต่างจากคนทั่วไป จึงอยากเข้ามาผูกมิตรสานไมตรี ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองท่านมีนามอันสูงส่งว่าอันใดหรือ? พวกเราเดินขึ้นเขาไปด้วยกันดีหรือไม่?”
“ข้ามีนามว่าเฉินเป่ยหลิน ส่วนแม่นางท่านนี้ชื่อว่าเยว่หงเซียง” หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไปอย่างมีไมตรีจิต “พวกเราเพียงผ่านมาที่เมืองนี้โดยบังเอิญและได้ยินว่าจะมีการประกาศผลสอบในวันรุ่งขึ้น จึงอยากมาเข้าร่วมรับชมการประกาศผลสอบสักหน่อย และชาติกำเนิดของพวกเราคงไม่สูงส่งพอที่จะเป็นสหายกับบัณฑิตอย่างพวกท่านได้หรอกขอรับ”