เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1877 หอคัมภีร์ค้ำฟ้า
ตอนที่ 1,877 หอคัมภีร์ค้ำฟ้า
ปู้ชิวเหรินรับฟังและนึกทบทวน แต่ก็พบว่าตนเองไม่เคยได้ยินชื่อของคนทั้งสองมาก่อน ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อคำพูดของหลินเป่ยเฉินเสียทั้งหมด
เพราะไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือสง่าราศีของคนคู่นี้ ล้วนแต่ชี้ว่าพวกเขามีสถานะไม่ธรรมดา ปู้ชิวเหรินเคยติดตามคนใหญ่คนโตในเส้นทางดาราจักรมาหลายคนและผู้คนเหล่านั้นก็ยังมีสง่าราศีเทียบกับเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่นี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มคนนี้ นอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาและกิริยามารยาทที่สง่างามแล้ว ท่าทางของเขายังบอกว่าเป็นยอดฝีมือที่ชำนาญในการสังหารผู้คน ดังนั้นปู้ชิวเหรินจึงไม่อาจประเมินได้เลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีขั้นพลังอยู่ในระดับใดกันแน่
“ฮ่า ๆๆ ที่แท้สหายเฉินกับสหายเยว่ก็มารับชมการประกาศผลสอบนี่เอง”
ปู้ชิวเหรินยังคงพยายามผูกมิตรต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้และเอ่ยคำเชิญด้วยความกระตือรือร้น “หากเป็นเช่นนี้ พวกเราไปรับฟังการประกาศผลพร้อมกันดีหรือไม่? ข้าเองพยายามสอบเข้าสำนักศึกษาฉิวจื่อมาสามครั้งแล้ว ข้ารู้จักที่นี่เป็นอย่างดี ถือว่าให้ข้าเป็นผู้นำทางของพวกท่านก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเยว่หงเซียงและผงกศีรษะ ตอบรับว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็คงต้องรบกวนคุณชายปู้แล้ว”
ดังนั้น พวกเขาจึงเดินขึ้นเขาไปพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าปู้ชิวเหรินเป็นคนชนชั้นไม่ธรรมดา เขามีองครักษ์สี่คนคอยติดตามพร้อมด้วยเด็กแบกตู้เก็บตำราขนาดเล็กอีกหนึ่งคน
เด็กน้อยผู้นั้นถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวเว่ย’ เขามีอายุเพียงสิบสองปี แต่กลับต้องแบกตู้หนังสืออันหนักอึ้งอยู่บนแผ่นหลัง เด็กชายสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงิน คิ้วหนา ตาโต หน้าตาบ่งบอกถึงความฉลาดเฉลียวและตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
ปู้ชิวเหรินเป็นผู้เดินนำทาง ทุกครั้งที่พบเจอกับหลักศิลาสำคัญข้างทาง บุรุษหนุ่มก็จะสามารถเล่าถึงที่มาที่ไปได้อย่างฉะฉาน สมแล้วที่เขาเป็นผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา ปู้ชิวเหรินเป็นเหมือนคลังความรู้เคลื่อนที่ ไม่ว่าพบเจอสิ่งใดสองข้างทาง เขาก็สามารถอธิบายได้หมดสิ้น
“พื้นที่ตรงนี้เป็นตำแหน่งที่ราชันแห่งความรู้ได้ศึกษาตำราอย่างหนักจนกระทั่งบรรลุขั้นพลังสำเร็จและรัศมีแห่งความรู้เหล่านั้นก็ยังตลบอบอวลอยู่จนถึงทุกวันนี้”
“สหายเฉินดูนี่สิ ตำแหน่งนี้เรียกว่าลานอ่านตำรายามเช้า เป็นสถานที่ซึ่งผู้เยียวยาในตำนานอย่างหลี่อี้ฉิง โจวเฟยชิง หลิงหู่เซินและคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนของสำนักศึกษาฉิวจื่อ มักจะตื่นขึ้นมาอ่านตำราตั้งแต่ยามเช้า จนกระทั่งพวกเขาบรรลุขั้นพลังได้ในที่สุด…”
“ฮ่า ๆๆ ตำแหน่งนี้น่าสนใจมากทีเดียว นี่เป็นสถานที่ล้างเท้าของบรรพบุรุษแห่งสายเลือดผู้เยียวยา บัดนี้มันถูกเรียกว่า ‘ลานซูซูถัง’ นักศึกษาจำนวนมากมักจะมาอาบน้ำที่นี่เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง”
“ส่วนตึกสูงที่ตั้งอยู่เบื้องหน้านั้นมีนามว่าหอคัมภีร์ค้ำฟ้า เป็นสถานที่สำหรับการอ่านตำราที่ใหญ่ที่สุด เงียบสงบที่สุดและเหมาะสมกับการเรียนรู้มากที่สุด โดยปกตินั้น พวกเราจะเข้าไปไม่ได้ แม้แต่ผู้คนจากตระกูลใหญ่หรือขุนนางชั้นสูงจากสภาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ…”
ปู้ชิวเหรินกล่าวพร้อมกับเดินนำทางพวกของหลินเป่ยเฉินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าหอคัมภีร์ค้ำฟ้า
มันเป็นตึกสูงเกือบร้อยชั้น
ตัวตึกสร้างในรูปทรงของตำราที่ถูกวางไว้อยู่บนพื้นดิน
หน้ากระดาษหนึ่งแผ่นเท่ากับตึกหนึ่งชั้น
หอคัมภีร์ค้ำฟ้าผ่านลมผ่านฝนมาอย่างยาวนาน บนผนังด้านนอกเต็มไปด้วยคราบสกปรกของวัชพืชและเถาวัลย์
หากมองดูเพียงผิวเผิน ตึกสูงหลังนี้ไม่ต่างไปจากหนังสือเล่มใหญ่ที่ถูกผู้คนวางทิ้งไว้ให้ตากลมตากฝน แต่มันก็ยังมีเสน่ห์ในตนเองอย่างน่าประหลาด เพียงแค่ยืนจ้องมองจากระยะไกล หลินเป่ยเฉินก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความรู้ที่ลอยออกมาอย่างหนาแน่น
หอคัมภีร์ค้ำฟ้าเป็นเสมือนสิ่งเตือนใจสำหรับบรรดาผู้ที่มาเข้าสอบ เมื่อเดินผ่านตึกสูงหลังนี้ บรรดาผู้เข้าสอบก็จะหยุดชะงักเพื่อทำความเคารพ โดยย้ำเตือนกับตนเองไม่ให้ลืมเลือนจุดหมายและความฝันที่นำพาตนเองมาถึงที่นี่
หน้าประตูของหอคัมภีร์ค้ำฟ้ามีผู้คนยืนรอรับแขกอยู่กลุ่มหนึ่ง
พวกเขาต่างก็เป็นบุรุษหนุ่มหญิงสาวหน้าตาดี ลักษณะท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส
“ผู้ดูแลหอคัมภีร์ค้ำฟ้าเป็นบรรดาลูกศิษย์ของสำนักศึกษาฉิวจื่อที่ได้รับสิทธิพิเศษให้อ่านตำราได้ทุกเล่มที่อยู่ในหอคัมภีร์ โดยที่พวกเขาหวังว่านอกจากจะช่วยพัฒนาให้ศิษย์ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้เยียวยาระดับสูงได้แล้ว พวกเขาก็หวังว่าจะพัฒนาให้สำนักศึกษาฉิวจื่อเจริญเติบโตไปมากกว่านี้อีกด้วย…”
ปู้ชิวเหรินยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นต่อไป
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินตระหนักรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาแห่งนี้แล้ว
อย่างน้อย เอาแต่เพียงเรื่องหลักการอย่างเดียว สำนักศึกษาฉิวจื่อก็ถือได้ว่าเป็นแสงสว่างแห่งมวลมนุษยชาติ พวกเขามีแนวคิดไม่ต่างไปจากมนุษย์โลกในชาติภพที่แล้วของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเน้นย้ำว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับให้สังคมน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
“การประกาศผลสอบประจำปีนี้มีผู้มาเข้าร่วมมากมาย เพราะฉะนั้น หอคัมภีร์ค้ำฟ้าจึงเปิดให้ผู้คนเข้าพักเป็นกรณีพิเศษ ไม่ทราบว่าสหายเฉินกับสหายเยว่ได้จองห้องพักไว้แล้วหรือไม่?”
ปู้ชิวเหรินถามด้วยความสงสัย
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก
นี่ต้องจองห้องพักล่วงหน้าด้วยเหรอเนี่ย?
เขาส่ายศีรษะตอบกลับไปว่า “ข้ากับศิษย์น้องแค่ผ่านทางมาเท่านั้น จึงยังไม่ได้จองห้องพักแต่อย่างใด”
“ถ้าอย่างนั้น…”
ปู้ชิวเหรินส่งเสียงอุทานในลำคอ “ข้าจองห้องพักไว้แล้ว แต่ข้าจะลองให้คนเข้าไปจองห้องพักเพิ่มให้แก่พวกท่านก็แล้วกัน… เสี่ยวเว่ย เจ้ารีบเข้าไปทำเรื่องจองห้องพักให้แก่สหายเฉินและสหายเยว่เดี๋ยวนี้”
“รับทราบขอรับ คุณชาย”
เด็กชายเสี่ยวเว่ยรับคำ แม้จะแบกตู้ไม้ขนาดเล็กอยู่บนแผ่นหลัง แต่เขาก็กระโดดโลดเต้นเข้าไปทำการจองห้องพักในหอคัมภีร์ค้ำฟ้าได้อย่างร่าเริงยิ่ง
ปู้ชิวเหรินและผู้ติดตามพร้อมด้วยพวกของหลินเป่ยเฉินยืนพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่ที่หน้าประตูของหอคัมภีร์ แต่ในทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น…
“หืม? สหายท่านนี้อีกแล้วหรือ?”
เสียงแหลมสูงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น “ไม่ทราบว่าคุณชายปู้จำข้าได้หรือไม่?”
ปู้ชิวเหรินเคยมาสอบเข้าที่สำนักศึกษาฉิวจื่อมากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาจึงรู้จักผู้คนเป็นจำนวนมาก
เมื่อหันหน้ามองไปทางเสียงเรียก พวกเขาก็พบกับกลุ่มบัณฑิตประมาณสามคนเดินเข้ามา
สตรีเจ้าของเสียงแหลมสูงนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้างดงาม ดวงตากลมโต จัดได้ว่าเป็นยอดหญิงงามผู้หนึ่ง
และบรรดาผู้ที่เดินเคียงข้างนางเข้ามานั้นก็เป็นบัณฑิตหนุ่มรูปหล่อ ท่าทางน่าจะมาจากตระกูลร่ำรวยกันทั้งสองคน
“สหายเฉียวนี่เอง”
เมื่อปู้ชิวเหรินพบเห็นหญิงสาวผู้นั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงความขมขื่นในน้ำเสียงของปู้ชิวเหรินเล็กน้อย
หญิงสาวผู้นี้มีนามว่าเฉียวปี้อี๋ซึ่งเคยเป็นสหายเก่ากับปู้ชิวเหริน แต่สิ่งสำคัญก็คือนางเป็นคนที่มีภาพลักษณ์เลวร้ายที่สุดในกลุ่มบัณฑิตด้วยกัน ปู้ชิวเหรินกับเฉียวปี้อี๋ได้พบกันเมื่อการสอบปีที่แล้ว และนางก็ตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง ปู้ชิวเหรินพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับนาง สุดท้าย ก็ต้องเดือดร้อนให้อาจารย์ของปู้ชิวเหรินไปพูดคุยกับทางผู้ใหญ่ของตระกูลเฉียว เพื่อขอร้องไม่ให้นางมายุ่งเกี่ยวกับเขาอีก
ที่การประกาศผลสอบประจำปีนี้ ปู้ชิวเหรินเลือกแต่งตัวด้วยชุดธรรมดาสามัญก็เพื่อพยายามจะหลบหน้าเฉียวปี้อี๋นั่นเอง เพราะเขาไม่อยากจะมีปัญหารบกวนจิตใจอีกแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าคนเรายิ่งเกลียดชังกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้พบเจอกันมากเท่านั้น
เฮ้อ ต้องเหนื่อยใจอีกแล้วสิ
ปู้ชิวเหรินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
“คุณชายปู้ บุรุษผู้นี้คือใครหรือ?”
เฉียวปี้อี๋สำรวจมองเรือนร่างของหลินเป่ยเฉินอย่างไม่อาจถอนสายตาได้อีกแล้ว
“อ้อ บุรุษผู้นี้คือสหายเฉินเป่ยหลิน ส่วนแม่นางท่านนั้นคือสหายเยว่หงเซียง”
ปู้ชิวเหรินรีบแนะนำตัวอย่างเร่งรีบและไม่รอให้เฉียวปี้อี๋กล่าวคำใด เขาก็พูดต่อทันที “สหายเฉียว พอดีข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ไปคารวะศิษย์พี่ บัดนี้คงต้องขอตัวก่อน”
เขารีบยกมืออำลา
เฉียวปี้อี๋พลันตอบรับกลับมาอย่างไร้เยื่อใยว่า “ประเสริฐ ท่านจะไปไหนก็ไปเถอะ”