เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1878 อยู่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ตอนที่ 1,878 อยู่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ปู้ชิวเหรินตกตะลึง
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งสังเกตว่าเฉียวปี้อี๋กำลังจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกาย
อย่าบอกนะว่านางตกหลุมรักคุณชายเฉิน?
ปู้ชิวเหรินรับรู้ได้ในอะไรบางอย่าง
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงต้องขอตัวแล้วจริง ๆ”
ปู้ชิวเหรินส่งเสียงกระแอมไอขึ้นเล็กน้อย
“ท่านไปเถอะ”
เฉียวปี้อี๋โบกมือไล่ด้วยความรำคาญ
ปู้ชิวเหรินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
คือว่า…
ความรู้สึกเจ็บปวดใจนี้มันอะไรกัน?
ปู้ชิวเหรินเดินออกมาอย่างช้า ๆ แต่แล้วก็โพล่งขึ้นมาว่า “อ้อ ข้านึกออกแล้ว เสี่ยวเว่ยเข้าไปทำเรื่องติดต่อจองห้องพัก บัดนี้ยังไม่กลับมา… ข้าคงต้องรอเขาก่อน”
“คุณชายเฉิน นับเป็นโชคดีของข้าเหลือเกินที่ได้พบเจอท่าน”
เฉียวปี้อี๋ประสานมือคำนับให้แก่หลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ข้ามีนามว่าเฉียวปี้อี๋จากสำนักชูซาน เป็นน้องสาวของเฉียวฟู่จากสำนักชูซานผู้โด่งดังเอง… เจ้าค่ะ”
ให้ตายเถอะ!
หลินเป่ยเฉินนึกเบื่อหน่ายความหล่อเหลาของตนเองทุกทีที่มีหญิงสาวมาตกหลุมรักเขาอย่างหัวปักหัวปำเช่นนี้ เขาจึงยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อยว่า “ยินดีที่ได้พบแม่นาง”
เฉียวปี้อี๋รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่น่าเชื่อ!
โลกนี้จะมีบุรุษที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“ตอนแรกข้าเพียงคิดเข้ามาทักทายคุณชายปู้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับคนที่สูงส่งเช่นคุณชายเฉิน นับเป็นวาสนาของข้าโดยแท้จริง… ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินก็สอบเข้าที่สำนักฉิวจื่อเหมือนกันหรือเจ้าคะ?”
เฉียวปี้อี๋กลายเป็นหญิงสาวอ่อนหวานพูดจาน่าฟังขึ้นมาในพริบตา
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะตอบกลับไปว่า “ข้ากับศิษย์น้องเพียงมารับชมการประกาศผลสอบเพื่อความตื่นเต้นเท่านั้นน่ะ พวกเราไม่ใช่ผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาหรอก”
หืม?
เฉียวปี้อี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดีใจมากกว่าเดิม
ปรากฏว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเฉินเป่ยหลินไม่ใช่คนรักของเขา แต่เป็นเพียงศิษย์น้องเท่านั้น
งั้นก็ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องเป็นกังวลอีกแล้ว
“ข้าเองก็รู้จักกับอาจารย์ของที่นี่อยู่หลายคน สำนักชูซานของเราเคยร่วมมือกับสำนักฉิวจื่อมาแล้วหลายครั้ง หากคุณชายต้องการอาจารย์สักคนคอยให้คำปรึกษา คุณชายมาหาข้าได้เลยนะเจ้าคะ ข้ายินดีช่วยเหลือเต็มที่”
เฉียวปี้อี๋ยิ้มหวานและส่งป้ายหยกชิ้นหนึ่งให้หลินเป่ยเฉิน “นี่คือป้ายหยกประจำตระกูลเฉียว คุณชายเฉินได้โปรดรับไว้เถอะ”
เดี๋ยวก่อนนะ
นี่ถึงกับมอบป้ายประจำตระกูลให้เลยหรือ?
ปู้ชิวเหรินเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างและรู้สึกหัวใจสลายอย่างอธิบายไม่ถูก
แน่นอนว่าเขาอยากปฏิเสธความรักของเฉียวปี้อี๋ และไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนางอีกต่อไป แต่ในยามที่เฉียวปี้อี๋แสดงออกชัดเจนว่าให้ความสนใจในบุรุษหนุ่มผู้อื่น ทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจแปลก ๆ กันนะ?
หลินเป่ยเฉินรับป้ายหยกไปโดยไม่เกรงใจ “ขอบคุณแม่นางมากแล้ว”
เดี๋ยวก่อนสิ
นี่จะรับป้ายประจำตระกูลของคนแปลกหน้าง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?
ผู้ที่มีหน้าตาหล่อเหลามักจะได้ทุกอย่างที่ต้องการเลยหรือไร?
ปู้ชิวเหรินยิ่งรู้สึกหัวใจสลายหนักกว่าเดิม
เฉียวปี้อี๋ยิ้มกว้างอย่างสุขใจ
หนึ่งในกลุ่มบัณฑิตหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างนางกล่าวขึ้นด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อยว่า “คุณหนูเฉียว ป้ายหยกชิ้นนี้เป็นอาจารย์มอบให้กับท่าน แล้วท่านจะมอบมันให้คนที่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร?”
“ใช่แล้วขอรับ ศิษย์พี่ ระวังท่านจะถูกหลอกลวงเอาได้”
“หึ ๆ มีผู้ใดทราบบ้างว่าเฉินเป่ยหลินไม่ได้ใช้วิชาปลอมตัว? คนเราจะมีหน้าตาหล่อเหลาสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้อย่างไร”
บัณฑิตหนุ่มอีกสองคนก็ช่วยพูดออกมาเช่นกัน
เฉียวปี้อี๋เลิกคิ้วขึ้นสูงกำลังจะหันหน้าไปด่าสักหลายคำ
แต่หลินเป่ยเฉินก็ขัดจังหวะขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “แม่นางอย่าได้สนใจพวกเขาเลย เรื่องราวเช่นนี้ข้าเคยพบเจอมามากแล้ว ทุกครั้งที่มีหญิงงามมาพูดคุยกับข้า บรรดาผู้ติดตามที่อยู่ข้างนางก็มักจะรู้สึกไม่สบายใจเสมอ โบราณกล่าวว่าบุรุษมักจะเกลียดชังคนที่หล่อเหลามากกว่าตนเอง ข้าคุ้นเคยดีแล้ว… บางทีเกิดมาหน้าตาดีมากเกินไป มันก็น่าเหนื่อยใจเช่นนี้เอง”
ว่าไงนะ?
ปู้ชิวเหรินและบัณฑิตหนุ่มอีกสองคนรู้สึกพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาทันที
นี่มันถ้อยคำเหยียดหยามพวกเขาชัด ๆ!
แต่พวกเขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เพราะสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมานั้นเป็นความจริงทุกประการ
เมื่อการสนทนาดำเนินมาถึงตรงนี้ เด็กชายเสี่ยวเว่ยก็วิ่งกลับมาพอดี “กราบเรียนนายท่าน ทางหอคัมภีร์บอกว่าห้องพักเต็มหมดแล้วขอรับ ไม่สามารถจองเพิ่มเติมได้อีกแล้วขอรับ”
ปู้ชิวเหรินหันกลับมามองพวกของหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “สหายเฉิน หากท่านไม่รังเกียจ ท่านมาพักห้องของข้าก็ได้…”
“ห้องของข้าก็เช่นกันเจ้าค่ะ”
เฉียวปี้อี๋จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม “หากคุณชายไม่รังเกียจ ท่านสามารถมานอนเบียดกับข้าได้”
หลินเป่ยเฉินแอบสงสัยอยู่ในใจว่านอนเบียดนี่ ต้องเบียดขนาดไหนกันนะ?
แม้ว่าเขาจะเป็นคนเสเพล แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้ชายใจง่ายที่จะกลายเป็นดอกไม้ริมทางให้ผู้ใดเชยชมเล่น ๆ สักหน่อย
“ไม่ได้นะขอรับ”
บัณฑิตหนุ่มผู้มีนามว่าเจียงหนานรีบกล่าวขึ้นโดยเร็ว “ศิษย์พี่ หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูอาจารย์ ท่านอาจารย์ต้องไม่พอใจแน่”
เฉียวปี้อี๋ยิ้มมุมปาก แล้วตอบว่า “เฮ้อ ข้ารู้แล้วน่า ก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง เจ้านี่มันน่ารำคาญจริง ๆ พวกเจ้ายกห้องพักของตนเองให้คุณชายเฉินเข้าไปพักแทนเถอะ”
สองบัณฑิตหนุ่มใบหน้ากระตุกขึ้นมาด้วยความเดือดดาลทันที ต่อให้พวกเขาต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาของหอคัมภีร์ค้ำฟ้าแล้วกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย พวกเขาก็ไม่มีทางยกห้องพักของตนเองให้เจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้เด็ดขาด
“คุณหนู ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากยกห้องพักให้เขานะขอรับ แต่ท่านก็รู้ว่าหอคัมภีร์มีกฎเคร่งครัด แขกที่เข้าพักต้องเป็นผู้ที่ลงชื่ออยู่ในระบบเท่านั้น เราไม่สามารถยกห้องพักให้แก่ผู้อื่นได้ง่าย ๆ เช่นนี้ มิฉะนั้นแล้ว หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย มีหวังพวกเราคงได้ถูกไล่ออกเป็นแน่แท้”
บัณฑิตหนุ่มผู้มีนามว่าตงอู่ตี๋รีบอธิบายโดยเร็ว
และสายตาที่บัณฑิตหนุ่มทั้งสองคนจ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินก็สื่อความหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘พวกเราไม่ต้อนรับเจ้า อย่าได้เสนอหน้าอยู่ที่นี่เด็ดขาด’!
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจ
อยู่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
เพราะเขาแค่ตั้งใจพาเยว่หงเซียงออกมาเดินเล่นเท่านั้น
เขาจะยอมรับคำเชิญจากแม่นางที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินไม่เชื่อว่านางจะเชิญให้เขาเข้าพักโดยไม่หวังเชยชมร่างกายของเขาหรอก
“นายท่านขอรับ ให้ข้าน้อยลองเข้าไปสอบถามดูดีหรือไม่?”
ทันใดนั้น หวังเฟิงหลิวก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “ข้าน้อยจำได้ว่าตนเองมีสหายอยู่ในที่นี่ไม่น้อย พวกเขาน่าจะช่วยหาห้องพักให้เราได้ไม่ยากขอรับ”
“เฮอะ…”
เจียงหนานกับตงอู่ตี๋พร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เจียงหนานแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ต่อให้สหายของเจ้าเป็นผู้จัดการหอคัมภีร์แห่งนี้มันก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎ ไม่มีทางที่หอคัมภีร์จะเปลี่ยนกฎเพื่อพวกเจ้า แม้แต่ศิษย์ชื่อดังของสำนักศึกษาฉิวจื่อก็ยังไม่เคยได้รับการยกเว้นเช่นนี้เลย”