เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1879 อาจารย์ฟาง
ตอนที่ 1,879 อาจารย์ฟาง
หวังเฟิงหลิวไม่ได้สนใจเจียงหนาน เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลินเป่ยเฉิน เขาก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในหอคัมภีร์ค้ำฟ้าทันที
เยว่หงเซียงโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉินว่า “หรือพวกเราจะเปลี่ยนที่พักกันดีเจ้าคะ”
“หึ ๆ ใช่แล้ว พวกเจ้าเปลี่ยนที่พักเถอะ หอคัมภีร์แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ของคนที่จะมารับชมการประกาศผลสอบเพื่อความสนุกสนาน แต่นี่คือที่พักของผู้ที่อุทิศตนอย่างหนักให้แก่การสอบเข้าสำนักศึกษาฉิวจื่อต่างหาก”
ตงอู่ตี๋พูดพร้อมกับหัวเราะเยาะ
“พวกเจ้าสองคนพอได้แล้ว”
เฉียวปี้อี๋ตวาดด้วยความรำคาญใจ “ไสหัวไปซะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้าอีก”
“คุณหนู พวกเราทำอะไรผิด?”
“ศิษย์พี่อย่าเพิ่งโกรธพวกเรา พวกเราเองก็อยากเป็นมิตรกับคุณชายเฉินเช่นกัน มิเช่นนั้น พวกเราจะบอกเรื่องการละเมิดกฎให้เขาฟังทำไมล่ะขอรับ”
เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงงามที่กำลังโกรธแค้น กลุ่มบัณฑิตหนุ่มก็ต้องรีบก้มศีรษะอธิบายอย่างประจบประแจงเอาใจ
“หืม? เสี่ยวหนาน นั่นมันพี่ชายของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
ตงอู่ตี๋พลันแสดงสีหน้าประหลาดใจ ร้องอุทานออกมาพร้อมกับชี้มือไปยังประตูทางเข้าหอคัมภีร์
“ใช่แล้ว นั่นพี่ชายของข้าจริงด้วย”
เมื่อเจียงหนานสังเกตเห็นพี่ชายของตนเอง เขาก็รีบโบกมือเรียกโดยเร็ว “ท่านพี่ ข้าอยู่ตรงนี้…”
บุรุษหนุ่มในชุดนักศึกษาผู้หนึ่งได้ยินเสียงเรียกก็หันหน้ามายิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้ามาหาอย่างแช่มช้า “น้องรัก นี่คือสหายของเจ้าหรือ?”
เจียงหนานตอบว่า “ท่านพี่ นี่คือศิษย์พี่เฉียวที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง นางเป็นหนึ่งในสี่ลูกศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดของสำนักชูซานประจำปีนี้ ส่วนนี่คือสหายของข้าตงอู่ตี๋… ส่วนคนนี้”
เขาหันกลับมามองที่หลินเป่ยเฉิน “ข้าไม่รู้จักเขาสักเท่าไหร่ แต่คนผู้นี้พูดจาวางท่าใหญ่โต บอกว่าตนเองรู้จักกับผู้คนในหอคัมภีร์และต้องการจะแย่งชิงห้องพักของผู้อื่น นับเป็นคนที่ยโสโอหังยิ่งนัก”
หลังจากนั้น เจียงหนานก็แนะนำให้เฉียวปี้อี๋ได้รู้จักกับพี่ชายของตนเอง “นี่คือพี่ชายของข้าน้อยขอรับ เขามีนามว่าเจียงเฉา เมื่อสามปีที่แล้ว เขาสอบเข้าได้เป็นอันดับที่สิบแปดของสำนักศึกษาฉิวจื่อ”
“ว่าไงนะ?”
“อันดับที่สิบแปดอย่างนั้นหรือ? ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”
ในขณะนี้ ตงอู่ตี๋กับปู้ชิวเหรินได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นตัวประกอบไปโดยปริยาย
ยามที่ตกตะลึง พวกเขาไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรกล่าวอะไรอีกแล้ว
สำนักศึกษาฉิวจื่อเปิดรับลูกศิษย์ทั่วเส้นทางดาราจักร เพราะฉะนั้น การสอบเข้าได้เป็นอันดับที่สิบแปดจึงถือว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่แท้จริงผู้หนึ่ง
เมื่อสอบเข้าได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ อนาคตของเจียงเฉาย่อมสว่างไสว การกลายเป็นสุดยอดหมอยาในอนาคตก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
นี่คืออัจฉริยะ!
อัจฉริยะที่แท้จริง!
กลุ่มคนที่อยู่โดยรอบพากันจ้องมองไปที่เจียงเฉาด้วยความเคารพเลื่อมใส
“ข้าก็แค่นักศึกษาธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น”
เจียงเฉาแนะนำตนเองกับทุกคนด้วยความสุภาพอ่อนน้อม
“เป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อย ข้าไม่กล้าอวดอ้างต่อผู้ใดหรอก ในสำนักศึกษายังมีอัจฉริยะที่แท้จริงอยู่อีกมากมาย เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ข้าก็เป็นได้เพียงเศษดินก้อนหนึ่งเท่านั้น หากพวกเจ้าสามารถสอบผ่านได้สำเร็จ ในอนาคต พวกเจ้าก็คงเก่งกาจมากกว่าข้าหลายเท่านัก”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็หันมาพยักหน้าทักทายหลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงด้วยความสุภาพอ่อนน้อมและจริงใจ “สหายท่านนี้อาจจะไม่รู้จักกฎเกณฑ์ของหอคัมภีร์เรา สำนักศึกษาฉิวจื่อเป็นสถานที่ซึ่งยึดมั่นในกฎระเบียบ ไม่เคยมีการอนุโลมให้แก่ผู้ใดมาก่อน”
“เพราะฉะนั้น การขอเข้าพักแทนผู้อื่นนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย หรือหากสหายมีคนรู้จักทำงานอยู่ในหอคัมภีร์ ข้าก็ขอแนะนำว่าท่านอย่าได้ไปรบกวนพวกเขาด้วยเรื่องราวเช่นนี้อีก เพราะนั่นจะทำให้คนรู้จักของท่านต้องเดือดร้อนในภายหลัง และในที่สุด พวกเขาอาจจะถึงขั้นเลิกคบกับท่านก็เป็นได้”
เจียงเฉาผู้นี้มีอายุประมาณยี่สิบห้าปี คำพูดคำจามีความนุ่มนวลลื่นหูสุภาพอ่อนน้อมน่าฟัง ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนมีสายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
“หึ ๆ พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
เจียงหนานกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “คุณชายเฉิน ที่นี่เป็นดินแดนของปัญญาชน หากเจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ ก็จงกลับไปตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มากกว่านี้”
เมื่อเทียบกับพี่ชายของตนเองแล้ว เจียงหนานซึ่งมีอายุอ่อนกว่ากันเจ็ดปีกลายเป็นคนที่มีความเย่อหยิ่งและจองหองมากกว่ากันหลายเท่า
“ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดแล้ว”
ทันใดนั้น เยว่หงเซียงซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอดก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ของข้าไม่ได้อยากจะแย่งห้องพักของใคร หรือถึงเขาจะพูดอย่างนั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะศิษย์พี่ของข้ายังไม่รู้ถึงกฎระเบียบของพวกท่าน ในเมื่อพวกท่านบอกว่าที่นี่เป็นดินแดนของปัญญาชน แล้วเหตุใดจึงต้องพูดจาดูถูกเหยียดหยามกันถึงเพียงนี้ด้วย? หรือว่าตำราที่พวกท่านอ่านเข้าไปนั้น ไม่ได้ช่วยขัดเกลาจิตใจของพวกท่านให้ดีขึ้นเลย?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมามองหน้าเยว่หงเซียงด้วยความประหลาดใจ
นี่คือครั้งแรกที่นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันถึงเพียงนี้
และนางก็กำลัง ‘ปกป้อง’ เขาอยู่
หัวใจของหลินเป่ยเฉินพองโตอย่างมีความสุข
เจียงเฉารีบประสานมือก้มศีรษะขออภัยโดยเร็ว “น้องชายของข้ายังเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ หากมีถ้อยคำใดล่วงเกินพวกท่านไปบ้าง ข้าก็ต้องขออภัยแทนน้องชายด้วย หวังว่าพวกท่านคงไม่ถือสา”
“ท่านไม่ต้องขอโทษแทนเขาหรอก”
เยว่หงเซียงไม่ยอมรับคำขอโทษ
สีหน้าของนางบอกชัดถึงความโกรธแค้น ไม่ต่างจากแม่เสือที่กำลังปกป้องลูกน้อยของตนเอง
เฉียวปี้อี๋ก็ส่งเสียงแทรกขึ้นมาเช่นกันว่า “จริงด้วย เจียงหนาน ตงอู่ตี๋ พวกเจ้าควรเรียนรู้จากศิษย์พี่เจียงเฉาเอาไว้ให้เยอะ ๆ พวกเจ้ามันจิตใจคับแคบกันมากเกินไป พวกเจ้ามันเห็นแก่ตัวมากเกินไป ไม่มีคุณสมบัติของปัญญาชนเลยแม้แต่น้อย”
เจียงเฉาหันมาปั้นหน้ายิ้มแย้มให้แก่เยว่หงเซียง แล้วกล่าวว่า “อันที่จริงนั้น ที่พักในสำนักศึกษาของเราไม่ได้มีเพียงแต่หอคัมภีร์ค้ำฟ้าเท่านั้น แต่ยังมีโรงเตี๊ยมอีกหลายแห่งที่สามารถเข้าพักได้เช่นกัน หากพวกท่านต้องการสถานที่พักแรม… เอ๊ะ นั่นอาจารย์ฟางนี่นา อาจารย์เดินออกมาทำอะไรกันนะ?”
เมื่อพูดมาได้ครึ่งทาง เจียงเฉาก็สังเกตเห็นฟางซื่อหลี่ หัวหน้าคณะอาจารย์ประจำแผนกประชาสัมพันธ์ของสำนักศึกษาฉิวจื่อเดินออกมาพอดี เขาจึงรีบเดินเข้าไปประสานมือทำความเคารพ
ฟางซื่อหลี่เป็นอาจารย์อาวุโสของสำนักฉิวจื่อ มีตำแหน่งสูงส่ง เขาจึงได้รับความเคารพจากผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องราวของความรู้ บุคลิกหรือขั้นพลัง ทั้งหมดนั้นต่างก็มีความยอดเยี่ยมอย่างที่ยากจะหาผู้ใดในสำนักศึกษาเทียบเคียงได้
นอกจากนี้ ฟางซื่อหลี่ยังเป็นมือขวาคนสนิทของอาจารย์ใหญ่คนปัจจุบันของพวกเขาอีกด้วย
แม้เจียงเฉาจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะประจำสำนัก แต่เขาก็ยังไม่กล้าทำเมินเฉยต่ออาจารย์ท่านนี้ ดังนั้นเจียงเฉาจึงต้องรีบเข้าไปทำความเคารพโดยเร็ว
และในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาลูกศิษย์และผู้เข้าสอบทุกคนที่จดจำตัวตนของฟางซื่อหลี่ได้ต่างก็โค้งตัวคำนับชายชราด้วยความเคารพสูงสุดเช่นกัน
ด้านนอกหอคัมภีร์ที่มีเสียงวุ่นวายพลันเงียบสงบลงในพริบตา
จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ผู้คนพร้อมใจกันก้มศีรษะลงประสานมือคำนับให้แก่ชายชราผมขาวที่เดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ
กลุ่มคนโค้งตัวคำนับไม่ต่างไปจากต้นข้าวที่ไหวเอนไปตามแรงลม
“อาจารย์ฟาง มีอะไรหรือขอรับ…”
เจียงเฉากล่าว “วันนี้ศิษย์รับหน้าที่ดูแลหอคัมภีร์ อาจารย์ดูท่าทางรีบร้อน มีอะไรให้ศิษย์ช่วยเหลือไหมขอรับ?”
ฟางซื่อหลี่เดินเข้ามาหาพวกเขา แต่ไม่ได้ชำเลืองมองที่เจียงเฉาเลยแม้แต่น้อย เขากลับเดินตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินและถามว่า “ท่านคงเป็นคุณชายหลิน… เอ๊ย คุณชายเฉินเป่ยหลินใช่หรือไม่?”
เสียงของชายชรามีความสั่นเครือเล็กน้อย
เจียงเฉายืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกแปลกประหลาด เขาตั้งใจสลับชื่อของตนเองปลอมตัวในนามของเฉินเป่ยหลิน แต่ชายชราผมขาวผู้นี้เกือบจะหลุดเรียกชื่อจริงของเขาออกมาตั้งแต่แรก นี่แสดงว่าชายชราน่าจะเคยรู้จักเขามาก่อน... ตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ใช่แล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปและถามว่า “ไม่ทราบว่าอาจารย์รู้จักข้าน้อยด้วยหรือ?”
“ข้ารู้จัก… บิดามารดาของท่าน”
ฟางซื่อหลี่สูดหายใจลึก จ้องมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า หัวใจเต้นรัวเหมือนมีพายุทะเลคลั่ง ยิ่งจ้องมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหัวใจเต้นเร็วมากเท่านั้น คนที่มีสง่าราศีเช่นนี้ ยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีก?
“คุณชายเฉิน ตรงนี้ไม่เหมาะกับการสนทนา”
ชายชราผายมือเชื้อเชิญ “ตามข้าเข้าไปข้างในเถอะ”