เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 188 ข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง
บทที่ 188 ข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง
“ได้โปรดคุณชายรอสักครู่” หญิงสาวพูดแล้วหมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินมองตามบั้นท้ายที่บิดไปบิดมาของนางอย่างใช้ความคิด
หญิงสาวนางนี้มองกระบี่และมีดของเขาด้วยแววตาแปลกประหลาด แสดงว่าร้านขายอาวุธร้านนี้ย่อมไม่ธรรมดา
ผ่านไปเพียงครู่เดียว
หญิงสาวหน้าตาสะสวยก็กลับมาพร้อมกับบุรุษหนุ่มผู้เปลือยท่อนบน
เขาเป็นชายร่างใหญ่อายุประมาณ 30 ปี มีความสูงกว่า 7 เซี๊ยะ ตลอดลำตัวเต็มไปด้วยมัดกล้าม ดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา ใบหน้าเหลี่ยม ปากกว้าง คิ้วโก่ง ตาโต ผิวขาวราวกับผู้ดี ศีรษะโล้นเลี่ยน ไม่มีผมเลยสักเส้นเดียว
ในมือของเขาถือค้อนเหล็ก พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกาย เหมือนสัตว์ร้ายที่อยู่ในอาณาจักรของตนเอง
“มาขายกระบี่หรือ?” ชายร่างใหญ่จ้องมองเด็กหนุ่ม เสียงของเขาดังกังวานปานระฆังทองเหลือง
“ใช่แล้วขอรับ ข้าน้อยมาขายกระบี่”
หลินเป่ยเฉินยื่นกระบี่และมีดที่แตกหักไปให้ดู หลังจากนั้น เขาก็ยกมือชี้กระบี่และบรรดาศาสตราวุธที่วางอยู่บนชั้นวางของภายในร้าน “เถ้าแก่เป็นคนตีกระบี่พวกนี้ขึ้นมาเองหรือขอรับ?”
ชายร่างใหญ่พยักหน้าตอบว่า “ตระกูลหยางของพวกเราตีกระบี่เป็นอาชีพมาตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน…คุณชาย อาวุธของท่านถูกหลอมขึ้นมาอย่างสลับซับซ้อน ซ้ำยังมีการลงอักขระไว้เป็นอย่างดี นี่คืออาวุธชั้นยอด ไม่ทราบว่าท่านทำอย่างไรมันถึงได้แตกหักอยู่ในสภาพนี้?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “มันหักระหว่างการต่อสู้น่ะ”
เมื่อพูดออกไปแล้ว เด็กหนุ่มก็นำกระบี่ของชายชราผมเทาออกมาและอธิบายต่อว่า “พวกมันหักด้วยฝีมือกระบี่เล่มนี้แหละ ข้าเองเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ข้าก็อยากนำกระบี่เล่มนี้มาขายด้วยเช่นกัน ไม่ทราบว่าเถ้าแก่จะให้ราคาเท่าไหร่?”
“หืม?” ชายร่างใหญ่ผู้เป็นเจ้าของร้านขายกระบี่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “กระบี่เล่มนี้ดีเลิศยิ่งกว่ากระบี่ทั่วไปหลายเท่านัก ไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมมันถึงสามารถตัดกระบี่ของคุณชายขาดได้เช่นนี้ ไม่ทราบว่าเจ้าของกระบี่ที่แท้จริง…”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “ตายไปแล้ว”
ชายร่างใหญ่ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า “ตายแล้ว?”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็พลันจ้องมองอาวุธทั้ง 3 ชิ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดจริงจังมากกว่าเดิม
“ข้ามีนามว่าหยางเฉินโจว เป็นบุตรชายคนโตของเจ้าของร้านตัวจริง จากการตรวจสอบศาสตราวุธทั้ง 3 ชิ้นนี้ ข้าพบว่ามันเกิดความเสียหายจากการปะทะกันในการต่อสู้อันดุเดือด ไม่ทราบว่าความสัมพันธ์ของเจ้าของกระบี่เหล่านี้เป็นอย่างไรกันแน่?”
หยางเฉินโจววางกระบี่กลับคืนลงบนโต๊ะไม้ และถามออกมาเสียงดังสนั่น
หลินเป่ยเฉินนิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว
นี่เขามาขายของ ยังต้องถูกตรวจสอบประวัติอีกหรือ?
หญิงสาวหน้าตาสะสวยขยับกายมายืนอยู่ข้างชายร่างใหญ่ จากนั้นนางจึงรีบยิ้มแย้มอธิบายว่า “คุณชายอย่าเพิ่งร้อนใจ ไม่ใช่ว่าพวกเราสอดรู้สอดเห็น แต่อาวุธเหล่านี้มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา พวกเราเป็นเพียงร้านขนาดเล็ก ไม่อยากมีปัญหากับบรรดาสำนักใหญ่ ดังนั้นก่อนทำการซื้อขาย เราจึงอยากแน่ใจเสียก่อนว่าคุณชายได้กระบี่เหล่านี้มาโดยถูกต้องจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินเชิดหน้าถามว่า “พวกท่านไม่รู้จักข้าหรือ?”
ชายร่างใหญ่และหญิงสาวหน้าตาสะสวยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่พวกเขาจะส่ายหน้าเป็นคำตอบ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “พวกท่านเพิ่งมาอยู่เมืองหยุนเมิ่งได้ไม่นานใช่หรือไม่?”
ชายร่างใหญ่ตอบตามความจริง “เดิมทีร้านนี้เป็นบิดาข้าคอยดูแล แต่เมื่อ 2 เดือนก่อนบิดาของข้าก็ได้เสียชีวิตไป ดังนั้นข้ากับศิษย์น้องจึงต้องเดินทางกลับมาจากเมืองซินจินเพื่อสืบทอดร้านแห่งนี้ต่อไป”
“อย่างนี้นี่เอง” หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
ที่แท้คนที่ดูแลร้านนี้ในปัจจุบันก็เป็นคนต่างเมือง
“ข้ามีนามว่าหลินเป่ยเฉิน” เด็กหนุ่มเงยหน้าพูดด้วยความมั่นใจ “ข้าคืออัจฉริยะอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยางเฉินโจวกับหญิงสาวข้าง ๆ เขาทันที
ปรากฏว่าคุณชายท่านนี้แท้จริงแล้วก็คือ ‘เศษขยะไร้ค่า’ ประจำเมือง ผู้มีชื่อเสียงในเรื่องของความโง่เขลาเบาปัญญา นามว่าหลินเป่ยเฉิน
ต่อให้พวกเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหยุนเมิ่งนานแล้ว แต่ก็ยังได้ยินชื่อเสียงของเด็กหนุ่มผู้นี้มาหลายปี
สีหน้าของหยางเฉินโจวเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่แล้วหญิงสาวหน้าตาสะสวยก็ยกมือขึ้นส่งสัญญาณ ว่านางจะเป็นคนเจรจากับเด็กหนุ่มเอง “คุณชายหลิน พวกเราเป็นเพียงร้านขายอาวุธเล็กๆ…กระบี่เหล่านี้มีราคาสูงมากเกินไป เรามีเงินไม่มากพอที่จะซื้อพวกมันเอาไว้ได้หรอกเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกหักหน้าอย่างไรอย่างนั้น
เด็กหนุ่มหลงเข้าใจว่าในขณะนี้ ภาพลักษณ์ของตนเองคงดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทำไมเขายังดูชั่วร้ายเหมือนเดิมอยู่อีกนะ?
น่าขายหน้าจริงๆ
“พวกท่านไม่อยากรับซื้อกระบี่ของข้าใช่หรือไม่?” หลินเป่ยเฉินถามกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
หญิงสาวหน้าตาสะสวยมีนามว่าหลู่หลิงโจว นางยิ้มอวดฟันสวย พยายามคิดหาคำตอบที่เหมาะสม
แต่ในทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาภายในร้าน
“ฮ่าฮ่า น้องเฉินโจว อยู่ร้านพอดีเลยหรือ?”
เสียงทักทายนั้นคุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ
เขาเห็นฉู่เหินเดินเข้ามาภายในร้าน
พานเว่ยหมินเดินอยู่เคียงข้างเข้ามาด้วย
ใบหน้าที่เคร่งขรึมของหยางเฉินโจวพลันยิ้มแย้มในทันใด เขาเดินออกไปต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยความนอบน้อม “พี่ใหญ่ฉู่ ดีใจเหลือเกินที่ท่านออกจากสถานพยาบาลได้แล้ว ดูท่าอาการของท่านคงดีขึ้นมากมายแล้วสินะ แล้วนี่อาจารย์พานมาด้วยหรือขอรับ?”
แต่นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉู่เหินสังเกตเห็นหลินเป่ยเฉินยืนหัวโด่อยู่ภายในร้านพอดี จึงพูดกับเขาด้วยความเดือดดาลว่า “ทำไมเจ้ายังไม่กลับสถานศึกษาอีก? มาทำอะไรที่นี่?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ทำไมโลกนี้มันถึงได้กลมขนาดนี้นะ?
โดนจับได้ว่าโดดเรียนอีกแล้วสิ
หลังจากถูกบ่นจนหูชาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยืนมองฉู่เหินหันไปพูดคุยกับชายร่างใหญ่ต่อไป “น้องเฉินโจวสบายใจได้ ข้ายินดีรับประกันว่าเด็กหนุ่มคนนี้ได้รับอาวุธทั้ง 3 ชิ้นมาโดยชอบธรรม หากเจ้าสนใจ ก็จงซื้อพวกมันเก็บเอาไว้เถิด”
“ดีเลยขอรับ” หยางเฉินโจวยิ้มออกมาเหมือนเด็กได้ของเล่น
หลู่หลิงโจวไม่คิดห้ามปรามอีกแล้ว
ฉู่เหินเป็นคนออกปากรับประกันเองทั้งที ย่อมหมายความว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้
อีกอย่าง ศาสตราวุธทั้ง 3 ชิ้นนั้นนับเป็นของหายาก ถูกหลอมขึ้นมาด้วยวิธีการที่ซับซ้อน อักขระอาคมที่ถูกแกะสลักลงไปก็เป็นเวทมนตร์ระดับสูง มิหนำซ้ำ วัสดุที่ใช้ก็เป็นของแปลกพิสดารไม่เหมือนใคร
สำหรับหยางเฉินโจวผู้อยู่กับการตีกระบี่มาตลอดชีวิต อาวุธทั้ง 3 ชิ้นนี้ไม่ใช่อาวุธที่ชำรุดเสียหาย แต่มันคือสมบัติล้ำค่าสำหรับเขา
สุดท้ายแล้ว หลินเป่ยเฉินก็สามารถขายอาวุธทั้ง 3 ชิ้นนั้นได้ในราคาถึง 100 เหรียญทองคำ
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่านี่คือราคาที่สมเหตุสมผล
นับเป็นเงินก้อนใหญ่
เทียบเท่ากับเงิน 1 ล้านหยวน
“น่าเสียดายที่พวกมันมาในสภาพชำรุดเสียหาย หากมีสภาพสมบูรณ์ดี อาวุธทั้ง 3 ชิ้นนี้จะมีราคาถึง 2,000 เหรียญทองคำ” หยางเฉินโจวพูดด้วยความเสียดาย
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็เสียดายไม่แพ้กัน
นับว่าเหตุการณ์ในหุบเขาชายแดนเหนือสร้างความเสียหายให้เขาใหญ่หลวงจริงๆ
“อาจารย์จะบอกให้ฟังนะ เป่ยเฉิน คนที่อาจารย์จะมาติดต่อให้ช่วยสร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือน่ะ ก็คือหยางเฉินโจวคนนี้แหละ” ฉู่เหินพยายามชวนคุย “เขาเป็นนักตีกระบี่และเป็นนักหลอมอาวุธชั้นเยี่ยม มีพรสวรรค์มากกว่านักหลอมอาวุธทั่วไป เจ้าอยากจะอยู่ต่อไหม? เผื่อเขาจะได้แจกแจงรายละเอียดในคัมภีร์ให้เจ้ารู้”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปทันทีว่า “ไม่จำเป็นขอรับ ข้าน้อยไม่สนใจ”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็เดินออกไปจากร้านหน้าตาเฉย
“พี่ใหญ่ฉู่ดูจะชื่นชมเด็กหนุ่มคนนี้มากเลยนะขอรับ” หยางเฉินโจวพูดด้วยน้ำเสียงขบคิดอะไรบางอย่าง
ฉู่เหินตอบว่า “บุตรชายของท่านขุนนางนักรบสวรรค์ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว…หลินเป่ยเฉินบัดนี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสถานศึกษากระบี่ที่สาม และอีกไม่นาน เขาน่าจะได้ขึ้นเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่ง”
หยางเฉินโจวกับหลู่หลิงโจวหันมองหน้ากันด้วยความเหลือเชื่อ
พานเว่ยหมินกล่าวขึ้นว่า “ถูกต้องแล้ว ตอนที่จ้านเถียนโหวนำตัวเขามาฝากเข้าศึกษาที่สถาบันของเราเมื่อปีก่อน คณะอาจารย์ทุกคนคัดค้านหัวชนฝา รวมถึงตัวข้าเองก็ไม่เห็นด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสถานศึกษากระบี่ที่สามจะกลับมาสู่เส้นทางแห่งความรุ่งเรืองอีกครั้งก็เพราะเขาคนนี้ ครั้งหนึ่ง…ข้าเคยเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินหมดหวังแล้วจริงๆ แต่บัดนี้ หากจะพูดว่าเขากำลังจะก้าวขึ้นสู่การเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมือง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความเป็นจริงแต่อย่างใด”
ทันใดนั้น หลู่หลิงโจวอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “เรียนถามพี่ใหญ่ทั้งสอง ไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มคนนี้สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้หรือ ทำไมพวกท่านถึงได้ชื่นชมเขาขนาดนั้น?”