เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1881 ไม่ต้อนรับ
ตอนที่ 1,881 ไม่ต้อนรับ
“อ้าว?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที “เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”
ฟางซื่อหลี่ยกมือขึ้นลูบหนวดเคราของตนเองและเล่าเรื่องราวอย่างแช่มช้าว่า “เรื่องมันยาวหน่อยนะ บังเอิญว่ามีผู้คนไปสืบประวัติความเป็นมาของผู้เข้าสอบชินและพบว่านางไม่ใช่ผู้คนของเส้นทางดาราจักรแห่งนี้ หลายคนจึงคัดค้านไม่ให้สำนักศึกษาฉิวจื่อรับตัวนางเข้ามา และตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา สำนักศึกษาต่าง ๆ ก็ไม่เคยรับลูกศิษย์จากต่างภพภูมิมาก่อน”
“แต่ว่าคุณชายหลิน ผู้เข้าสอบชินสหายของท่านนั้นมีความยอดเยี่ยมมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิชาอ่านเขียนหรือความรู้รอบตัว นางถูกจัดว่าอยู่ในขั้นอัจฉริยะที่แท้จริง เริ่มจากเมื่อเดือนที่แล้ว นางรับคำท้าประลองความรู้กับผู้คนถึง 721 คน และผู้เข้าสอบชินก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง นั่นทำให้นอกจากนางจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรเล่ยฉื่อแล้ว นางยังมีศัตรูอยู่มากมายอีกด้วย บัดนี้ นางจึงต้องตกระกำลำบากใช้ชีวิตอยู่ที่เชิงเขาเหวินเต้าอย่างไร้ที่พึ่งพิง”
เมื่อหลินเป่ยเฉินรับฟังคำตอบก็อดตกตะลึงไม่ได้
ให้ตายเถอะ
สมแล้วที่นักพรตหญิงชินเคยเป็นผู้สังหารเทพเจ้าด้วยมือเปล่ามาก่อน
นางสามารถแข่งขันความรู้และเอาชนะบัณฑิตได้ถึง 721 คนเชียวหรือ?
คนเราจะสามารถทำได้อย่างไรกัน?
ไม่ใช่ว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังตกตะลึงอยู่ดี
“เหตุผลที่การสอบประจำปีนี้ของสำนักศึกษาฉิวจื่อ มีผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ส่งลูกศิษย์ระดับอัจฉริยะของตนเองมาเข้าสอบมากมายนั้น ก็เป็นเพราะพวกเขาต้องการจะปิดทางไม่ให้ผู้เข้าสอบชินได้รับการบรรจุเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของพวกเราก็ยังต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และอาจารย์ใหญ่จึงใช้โอกาสนี้มองหาลูกศิษย์โดยตรงของตนเอง”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ฟางซื่อหลี่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
เยว่หงเซียงส่งเสียงถามขึ้นมาว่า “อาจารย์บอกว่านักพรต... เอ๊ย ผู้เข้าสอบชินต้องใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากอยู่ที่บริเวณเชิงเขาเหวินเต้านั้น มันคืออย่างไรหรือเจ้าคะ?”
ฟางซื่อหลี่ตอบว่า “นับตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มคนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ รวมตัวกันไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบชินเข้าพักในโรงเตี๊ยมทุกแห่ง ไม่มีสำนักศึกษาใดยอมรับตัวนางเข้าเป็นศิษย์ นางจึงไม่มีที่พักพิง ไม่มีที่ให้ท่องตำรา ไม่มีแม้แต่คนที่คอยส่งยิ้มให้… ทุกสถานที่ล้วนปฏิเสธนาง สถานการณ์เช่นนี้ เพียงคิดถึงก็น่าเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก”
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด
โลกนี้ชักจะไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
แต่นักพรตหญิงชินก็ยังคงเป็นคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
แม้ทุกฝ่ายจะหาเรื่องนาง แต่นางก็ไม่เคยหาเรื่องผู้ใด
เยว่หงเซียงถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วสำนักศึกษาฉิวจื่อไม่คิดปกป้องนางบ้างหรือเจ้าคะ? แม้ว่านางอาจจะไม่ได้บรรจุเข้าเป็นศิษย์ในสำนักพวกท่าน แต่อย่างน้อย นางก็เดินทางมาไกล ซ้ำยังพิสูจน์แล้วว่าตนเองมีความสามารถและพรสวรรค์ ต่อให้ไม่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี… แต่อย่างน้อยก็สมควรให้ความเคารพกันบ้าง”
ฟางซื่อหลี่ตอบว่า “ไม่ใช่ว่าสำนักศึกษาฉิวจื่อของเราอยากจะเมินเฉยต่อเรื่องนี้ ทางอาจารย์ใหญ่ของเราก็ให้ความสนใจในตัวของผู้เข้าสอบชินมากทีเดียว แต่ว่าสายลมที่พัดแรงมากเกินไปและกระบี่ที่แหลมคมมากเกินไป ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเราเองได้ ดังนั้น สำนักศึกษาฉิวจื่อจึงอยากจะดูก่อนว่าผู้เข้าสอบชินจะตอบรับต่อเหตุการณ์นี้อย่างไร”
ว่าไงนะ?
หลินเป่ยเฉินมุมปากกระตุกโดยทันที
เขาไม่รู้สึกสนุกอีกต่อไปแล้ว
เขาไม่สนหรอกว่าสำนักศึกษาฉิวจื่ออยากจะรับลูกศิษย์อย่างไรบ้าง
แต่นักพรตหญิงชินเป็นสตรีของเขา หลินเป่ยเฉินย่อมไม่ยอมให้นางถูกรังแกเด็ดขาด
“เสี่ยวหวัง ส่งคนไปสืบค้นข้อมูลมาเดี๋ยวนี้ว่าผู้เข้าสอบชินพักอยู่ที่ใด เมื่อพบเจอที่อยู่ของนางแล้ว ให้มาบอกต่อข้าโดยเร็วที่สุด”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
หวังเฟิงหลิวไม่กล้ารีรอลังเล รีบออกไปปฏิบัติตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ฟางซื่อหลี่เห็นเช่นนั้นหัวใจก็เริ่มเต้นไม่เป็นปกติสุข
ดูเหมือนว่าคุณชายหลินจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้เข้าสอบชินสินะ
ถ้าเช่นนั้น ท่าทีของสำนักศึกษาฉิวจื่อที่มีต่อผู้เข้าสอบชินก็ต้องเปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน
หวังเฟิงหลิวก็กลับมาพร้อมกับผลการสืบค้นข้อมูล
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นอย่างทนรอไม่ไหวและกล่าวว่า “อาจารย์ฟาง ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรีบไปกระทำ ขอตัวก่อน”
ฟางซื่อหลี่ยิ้มและลุกขึ้นรับการอำลาจากเด็กหนุ่ม
“ข้าจำได้ว่ามีค่ายอาคมบางชนิดที่ตนเองต้องการอ่านตำราเพื่อทำความเข้าใจ”
เยว่หงเซียงจุดบุหรี่ในมือและกล่าวว่า “ข้าไม่ไปด้วยนะเจ้าคะ”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจความหมายของเด็กสาว จึงพยักหน้า กล่าวว่า “งั้นเจ้าก็ตั้งใจอ่านตำราเถอะ”
เยว่หงเซียงเดินกลับเข้าไปในห้องพักของนาง
หลินเป่ยเฉินเดินนำหวังเฟิงหลิวออกมาจากจวนที่พักด้านหลังหอคัมภีร์ค้ำฟ้า
ในบริเวณเดียวกัน ทางด้านหลังของหอคัมภีร์ค้ำฟ้านั้นเป็นที่ตั้งของจวนที่พักอีกหลายหลัง แม้สภาพของจวนเหล่านั้นจะไม่ได้เลวร้ายอันใด เรียกได้ว่ามีความหรูหรามากกว่าจวนที่พักทั่วไปด้วยซ้ำ แต่พวกมันก็เทียบไม่ได้เลยกับความน่าอยู่อาศัยของจวนที่พักที่พวกของหลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเดินออกมา
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเดินพ้นประตูรั้วออกมาเท่านั้น เขาก็พบกับกลุ่มบัณฑิตหนุ่มสาวที่เดินสวนทางมาพอดี
ผู้ที่เดินนำมาหน้าสุดนั้นเป็นหญิงสาวร่างสูง สวมใส่ชุดเสื้อคลุมบัณฑิตสีน้ำเงินเข้มหลวม ๆ แต่นั่นก็ยังไม่อาจซ่อนเร้นเรือนร่างอันเย้ายวนใจได้อยู่ดี บนหน้าผากคาดผ้าโพกศีรษะ เครื่องแต่งกายของนางบอกถึงตำแหน่งศิษย์ของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งและด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังนั้น หญิงสาวผู้นี้ก็มีสง่าราศีของบัณฑิตผู้คงความรู้อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าย่อมมีบัณฑิตหนุ่มล้อมหน้าล้อมหลังบัณฑิตสาวผู้นี้เป็นจำนวนมาก
“เดี๋ยวก่อนนะ?”
บัณฑิตสาวผู้นั้นเพิ่งเคยพบเห็นหลินเป่ยเฉินเป็นครั้งแรก นางรู้สึกเหมือนกับมีแสงตะวันสาดส่องที่เบื้องหน้า รู้ตัวอีกที หลินเป่ยเฉินกับหวังเฟิงหลิวก็เดินผ่านไปแล้ว
“คุณชายคนเมื่อสักครู่นี้เป็นผู้ใดกัน?”
นางขมวดคิ้วถาม
“ข้าน้อยไม่เคยพบหน้ามาก่อนเลยขอรับ”
“เขาน่าจะเป็นเด็กใหม่นะขอรับ”
“ศิษย์พี่มู่หรงสนใจในตัวคนผู้นี้หรือขอรับ?”
“เขาสามารถเดินออกมาจากจวนที่พักของหอคัมภีร์ได้เช่นนั้น เกรงว่าสถานะคงไม่ธรรมดาแล้ว”
กลุ่มบัณฑิตหนุ่มแย่งกันตอบคำถาม
มู่หรงเทียนถามต่อไปว่า “พวกเจ้าสังเกตหรือไม่? คุณชายท่านนั้นเดินออกมาจากบ้านพักที่มีไว้เพื่อรับรองแขกระดับสูงเท่านั้น และปกติบ้านพักในบริเวณนั้นไม่เคยเปิดให้คนนอกเข้าพักมาก่อน แม้แต่ชนชั้นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาอื่น ๆ ก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เข้าพักเลยด้วยซ้ำ… นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยพบกับผู้คนที่เดินออกมาจากบ้านพักหลังนั้น”
กลุ่มบัณฑิตหนุ่มตกตะลึงกันโดยทันที
ใครคนหนึ่งกล่าวออกมาว่า “บางทีเขาอาจเป็นช่างไม้เข้าไปซ่อมแซมบ้านพักก็ได้นะขอรับ?”
มู่หรงเทียนพยักหน้าและกล่าวว่า “มีความเป็นไปได้… ว่าแต่ว่าพวกเจ้ารู้ที่อยู่ของชินเหลียนเซินแล้วหรือยัง?”
“ข้าน้อยรู้แล้วเจ้าค่ะ นางซ่อนตัวอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง”
บัณฑิตสาวที่เดินอยู่รั้งท้ายกลุ่มส่งเสียงพูดขึ้นมา “นางต้องไปอยู่ที่นั่นเพราะไม่มีโรงเตี๊ยมใดในเขตภูเขาเหวินเต้ากล้ารับตัวนาง ว่ากันว่านางต้องดื่มน้ำพุในภูเขาและรับประทานใบไม้เพื่อประทังชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”
“งั้นพวกเราไปหานางกันเถอะ”
มู่หรงเทียนผงกศีรษะ กล่าวต่อไป “ข้าจะไปย้ำเตือนให้นางได้รู้ว่าทางออกไปจากที่นี่นั้นอยู่ที่ใด”