เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1882 เหตุเกิด ณ วัดร้าง
ตอนที่ 1,882 เหตุเกิด ณ วัดร้าง
ห่างออกมาจากเชิงเขาเหวินเต้าเป็นระยะทางประมาณหนึ่งลี้
วัดร้างอายุหลายร้อยปีที่มีสภาพเก่าแก่ผุพังแห่งหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวขจีและธารน้ำใสสะอาด
เดิมทีวัดร้างแห่งนี้มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่บัดนี้ กำแพงวัดพังถล่ม รูปปั้นหินพังทลาย พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยวัชพืชและเถาวัลย์ดกหนา
ที่นี่อยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ของสำนักศึกษาฉิวจื่อ ผู้คนให้ความเคารพนับถือวัดร้างแห่งนี้เป็นอย่างสูง เพราะฉะนั้น สภาพที่ปรากฏในขณะนี้จึงเป็นไปตามธรรมชาติของกาลเวลา หาใช่ฝีมือของมนุษย์ไม่
ปกติวัดร้างแห่งนี้มีแต่ความเงียบสงบ
ปราศจากผู้คนวุ่นวาย
แต่วันนี้กลับมีผู้คนมารวมตัวเป็นจำนวนมาก
นักศึกษาหนุ่มสาวจำนวนหลายร้อยคนมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าประตูวัด พวกเขาต่างก็ชี้ชวนกันดูอะไรบางอย่างพร้อมกับพูดคุยกันกระซิบกระซาบ
ในวัดร้าง
มีบ่อน้ำพุอยู่บ่อหนึ่ง
หญิงสาวผู้งดงามสวมใส่เสื้อคลุมสีขาวสะอาดนั่งข้างกองไฟอยู่ใต้รูปปั้นหินขนาดใหญ่ นางใช้หินใหญ่ก้อนหนึ่งแทนเก้าอี้ ในมือกำลังถือตำราและอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
นี่คือภาพที่สวยงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดของจิตรกรเอก
เด็กชายและเด็กหญิงที่มีอายุไม่ถึงสิบขวบคู่หนึ่งกำลังนั่งหุงหาอาหารอยู่ที่กองไฟ พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้ม ท่าทางกระฉับกระเฉง ราวกับสิ่งที่ทำอยู่นี้เป็นกิจวัตรประจำวันก็ไม่ปาน
หญิงสาวผู้นั่งอ่านตำราและเด็กน้อยที่กำลังหุงหาอาหารไม่ได้สนใจบรรดากลุ่มคนที่มายืนอออยู่หน้าประตูวัดเลยแม้แต่น้อย
“นี่ เกือบจะมีข้าวไม่พอหุงแล้วนะ”
“ก็ใครใช้ให้เจ้ากินเยอะเกินไปล่ะ”
“ข้ากำลังโตนี่นา กินเยอะแล้วจะเป็นอะไร ถึงอย่างไรพี่ชินก็ไม่ได้รับประทานข้าวอยู่แล้ว”
“เฮอะ เป็นเพราะคนเหล่านั้นชั่วช้ามากเกินไป พี่ชินจึงไม่มีสถานที่ให้อาบน้ำมาสี่วันแล้ว”
“นั่นสิ มิหนำซ้ำ กลุ่มคนเหล่านั้นยังพยายามขับไล่พี่ชินออกไปอีกด้วย”
เด็กหญิงและเด็กชายส่งเสียงกระซิบพูดคุยกัน
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็เดินผ่านประตูวัดเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขาและกล่าวเสียงดังว่า “ชินเหลียนเซิน เจ้านี่มันหน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน ยังไม่ออกไปจากที่นี่อีกหรือ? ภูเขาเหวินเต้าไม่ต้อนรับเจ้า ทุกคนไม่ต้อนรับเจ้า หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงรีบเผ่นหนีไปนานแล้ว ไม่อยู่ให้ผู้คนสาปแช่งเช่นนี้หรอก”
ผู้พูดเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดปี
เขาสวมใส่ชุดบัณฑิตสีแดง ประดับเครื่องตกแต่งที่เป็นทองคำและหยก ใบหน้าหล่อเหลา กล่าวได้ว่าเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลอันสูงส่ง ไม่ว่าจะเป็นกิริยาหรือท่าทาง ล้วนบอกได้ดีว่าไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา
แต่นักพรตหญิงชินผู้นั่งอยู่ใต้รูปปั้นกลับไม่เงยหน้าขึ้นสักนิด นางยังคงก้มหน้าอ่านตำราต่อไปด้วยความเคร่งเครียดจริงจัง
“เขาพูดว่าอะไรนะ?”
“ดูเหมือนเขาจะไม่ต้อนรับพี่ชินและอยากจะขับไล่นางออกไปอีกแล้วน่ะสิ”
“เฮอะ เขาเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาฉิวจื่อหรือไร?”
“ไม่น่าใช่ อาจารย์ใหญ่คงไม่โง่เขลาเช่นนี้หรอก”
“งั้นเขามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้”
“นั่นน่ะสิ เขานี่มันหน้าไม่อายจริง ๆ”
เด็กชายและเด็กหญิงยังคงหุงอาหารต่อไป แต่พวกเขาก็พูดคุยกันตลอดเวลา เมื่อบัณฑิตหนุ่มชุดแดงได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้า เขาก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เด็กน้อยทั้งสองกลัวตายหรือไม่? พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรจึงได้พูดถึงข้าเช่นนั้น?”
“หา? คนผู้นี้เป็นบัณฑิตจริง ๆ หรือ?”
“ทั้งหยาบคายและไร้มารยาท ตำราที่อ่านไปคงไม่ได้เกิดประโยชน์อันใดเลย”
“นั่นเรียกว่าเป็นที่สันดานผู้คนต่างหาก อ่านตำราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“จริงด้วยสินะ เป็นเพราะเขาโง่เง่ามากเกินไป จึงต้องหาทางอื่นมารังแกผู้คนเช่นนี้”
เด็กชายและเด็กหญิงยังคงพูดคุยกันต่อไปด้วยเสียงที่ดังมากขึ้น
“เจ้าพวกลูกเต่าน้อย เป็นพวกเจ้ารนหาที่ตายแล้วจริง ๆ”
บัณฑิตในชุดเเดงกัดฟันกรอด จิตสังหารปรากฏขึ้นในแววตาขณะกล่าวว่า “เช่นนี้ต้องจับหักขา จับเอาหน้าเผาไฟเสียให้เข็ด”
มวลอากาศพลันเป็นประกายระยิบระยับ
ทันใดนั้น ตู้ไม้ขนาดเล็กสำหรับใส่หนังสือที่ตั้งอยู่ข้างเด็กหญิงก็ล้มลงมาหานาง ดูจากองศาและทิศทางแล้ว ตู้ไม้ใบนั้นต้องล้มทับใส่ขาของเด็กหญิงอย่างแน่นอน
เด็กชายที่กำลังต้มโจ๊กอยู่ที่กองไฟพลันร้องอุทาน จากนั้นเปลวไฟก็ได้พุ่งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แต่ที่สำคัญก็คือ เปลวไฟกำลังจะแผดเผาใบหน้าของเขาแล้ว
“หยุดรังแกผู้อื่นได้แล้ว”
นักพรตหญิงชินที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดส่งเสียงขึ้นทันที
แสงสว่างสาดประกายเจิดจ้า
ตู้ไม้ที่กำลังจะล้มลงมาพลันเอนกลับไปตั้งอยู่กับที่อย่างมั่นคง
ส่วนเปลวไฟที่กำลังจะพุ่งขึ้นมาแผดเผาใบหน้าของเด็กชายก็ย่อส่วนลงกลับไปในกองไฟตามเดิม
เด็กชายและเด็กหญิงมีเหงื่อออกท่วมตัวขณะหันไปจ้องมองทางบัณฑิตชุดแดงด้วยความหวาดกลัว
นักพรตหญิงชินถือตำราอยู่ในมือ ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนและหันไปถามบัณฑิตชุดแดงว่า “ท่านมีนามว่าอะไร?”
เมื่อบัณฑิตชุดแดงเห็นแววตาของนักพรตหญิงชิน เขาก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่มีอันใดให้ต้องหวาดกลัว จึงหัวเราะเยาะตอบกลับไปว่า “นางสารเลว ตัวข้านั้นมีนามว่าหลี่กวงซูมาจากสำนักตงหลิน ข้าคือหนึ่งในผู้เข้าสอบประจำปีนี้ และข้าก็เป็นตัวแทนของผู้เข้าสอบสำนักศึกษาฉิวจื่อมาบอกว่า พวกเราไม่ต้อนรับเจ้า หากเจ้ายังพอมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ก็จงรีบไสหัวไปเสีย อย่าได้มาเสนอหน้าอยู่ที่นี่อีก”
นักพรตหญิงชินกล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านไม่มีสิทธิ์มาเป็นตัวแทนของผู้ใด หรือต่อให้ท่านมีสิทธิ์ ท่านจะทำอะไรได้? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้เข้าสอบด้วยกันมีสิทธิ์มาขับไล่ผู้อื่นเช่นนี้”
“เหตุผลนั้นอยู่ที่ความแข็งแกร่ง”
หลี่กวงซูพูดด้วยความภาคภูมิใจ “และบัดนี้ ข้ามีความแข็งแกร่งมากกว่าเจ้า เพราะฉะนั้นข้าจึงมีสิทธิ์”
“ประเสริฐ สมแล้วที่เป็นคนจากสำนักตงหลิน”
นักพรตหญิงชินพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาที่สวยงามของนางเป็นประกายตลกขบขัน พลางกล่าวว่า “แต่ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าตนเองแข็งแกร่งมากกว่าข้า?”
สีหน้าของหลี่กวงซูแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หากว่ากันตามหลักวิชาความรู้ เขาย่อมไม่ใช่คู่ปรับของนักพรตหญิงชิน
หลี่กวงซูทราบดีว่าหญิงสาวผู้นี้เอาชนะผู้ประลองในการแข่งขันวัดความรู้มาแล้วถึง 721 คนรวด
ในกลุ่มผู้พ่ายแพ้ 721 คนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดอัจฉริยะจากสำนักต่าง ๆ ทั่วอาณาจักรเล่ยฉื่อและบางคนก็มีความเก่งกาจมากกว่าหลี่กวงซูด้วยซ้ำ
หากเทียบกันตัวต่อตัว เขาก็ไม่มีทางเอาชนะนางได้เลย
“ข้ารู้ว่าหากพูดถึงเรื่องความรู้เกี่ยวกับวิชาการเยียวยาผู้คน เจ้าคงมีฝีมือดีมากกว่าข้า”
หลี่กวงซูหัวเราะเยาะ “แต่การจะขับไล่ใครสักคนออกไปนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สักหน่อย”
ขาดคำ
บุรุษหนุ่มที่มีอายุประมาณยี่สิบห้าปีผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ
เขาผู้นี้ไม่เหมือนกับบัณฑิตหนุ่มทั่วไป เขาไม่ได้สวมใส่ชุดนักศึกษา ร่างกายกำยำนั้นปกคลุมด้วยชุดเกราะสีแดง จิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างแรงกล้า เพียงผู้คนสำรวจมองดูแค่วูบเดียวก็มองออกทันทีว่าบุรุษผู้นี้ผ่านการฆ่าคนมานับไม่ถ้วนแล้ว
“ข้าพเจ้าหยวนสวีหลิว จอมเทพจักราผู้ใช้สายเลือดคงกระพันระดับ 4”
บุรุษหนุ่มประสานมือคำนับและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม่นางชิน ไม่ทราบว่าเจ้าอยากจะออกไปจากที่นี่ด้วยตนเอง หรืออยากจะให้ข้าหักขาเจ้าแล้วค่อยลากออกไปดีล่ะ?”