เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1891 ข้าไม่นิยมใช้ความรุนแรง
ตอนที่ 1,891 ข้าไม่นิยมใช้ความรุนแรง
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
คลื่นพลังแปลกประหลาดเจาะทะลวงร่างกายอย่างต่อเนื่อง
ร่างของเสวี่ยเฟิงชิงสูญเสียการควบคุม
เขายืนสั่นกระตุกอยู่กับที่ โลหิตสาดกระจาย ไม่สามารถตอบโต้คู่ต่อสู้ได้เลย
ร่างกายที่แข็งแกร่งของผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพันที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักราระดับ 5 เมื่อเผชิญหน้าลำแสงสีน้ำเงินนั้น ร่างกายของเขาก็ไม่ต่างไปจากตุ๊กตากระดาษตัวหนึ่ง
สองแขน หน้าอก หัวไหล่ บั้นเอว หน้าท้อง ต้นขา น่อง…
กล้ามเนื้อตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ถูกเจาะทะลวง กระดูกแตกหักกระจัดกระจาย ตัวคนกลายเป็นรูพรุน
ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าลำแสงที่พุ่งออกมาจากมือของเฉินเป่ยหลินนั้นคืออะไรกันแน่
แต่สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้ก็คือชีวิตของเสวี่ยเฟิงชิงผู้เป็นเจ้าสำนักเฉิงเซินหลิวได้จบสิ้นลงแล้ว
นับตั้งแต่ที่เฉินเป่ยหลินลงมือ ทุกอย่างก็จบสิ้นลงตั้งแต่ตอนนั้น
นี่ย่อมเป็นภาพที่ไม่มีผู้ใดคิดฝันไว้
ก่อนการต่อสู้เริ่มขึ้น ผู้ชนะและผู้แพ้ได้ถูกกำหนดเอาไว้ก่อนแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง
หลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้จึงตกตะลึงจนลืมที่จะช่วยเหลือเสวี่ยเฟิงชิงไปเสียสนิท
หลายสิบลมหายใจผ่านไป
ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากหลายพันปี
เมื่อหมอกควันสีขาวเริ่มลอยขึ้นมาจากมือของหลินเป่ยเฉิน ลำแสงสีน้ำเงินนั้นก็ยุติการระเบิดตัว
ในเวลาเดียวกันนี้ สภาพของเสวี่ยเฟิงชิงก็ดูไม่ค่อยได้นัก
ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยรูพรุน ก้อนเนื้อและโลหิตกระจัดกระจาย ศีรษะแหว่งเว้า สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
“ให้ตายเถอะ…”
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่หายโกรธแค้น เดินเข้าไปกระทืบเท้าใส่หน้าอกของเสวี่ยเฟิงชิงจนร่างกายของอีกฝ่ายจมหายลงไปใต้พื้นดิน
“เก่งจริงก็ลุกขึ้นมาทำให้แผ่นดินไหวอีกสิวะ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็ทำท่าแปลกประหลาดอีกครั้ง
สองมือของเขาคล้ายกับกำลังประคองอะไรบางอย่าง เขาหันหน้าเข้าหาเสวี่ยเฟิงชิงแล้วเสียงที่แปลกประหลาดก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
เพียงพริบตาเดียว ศีรษะของเสวี่ยเฟิงชิงก็ระเบิดกระจายไม่ต่างไปจากแตงโมลูกหนึ่งที่ถูกค้อนทุบ เศษสมองและโลหิตไหลทะลักกองเต็มพื้นดิน
“ใครใช้ให้เจ้ามารบกวนข้า”
“ใครใช้ให้เจ้ากระทืบเท้าจนทำให้แผ่นดินไหว”
“ใครใช้ให้เจ้ารบกวนข้า”
“ใครใช้ให้เจ้ามาขัดขวางความสุขของข้า…”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินดุดัน ขณะย้ำเตือนถ้อยคำเหล่านั้นตลอดเวลา
เขายังคงโจมตีใส่ซากศพต่อไป
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นั้นต่างก็ขนลุกขนชันไปทั้งร่างกาย
พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่า ‘เสวี่ยเฟิงชิงไปทำอะไรให้เฉินเป่ยหลินโกรธแค้นถึงเพียงนี้กันนะ?’
ฟางซื่อหลี่อ้าปากคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ปิดปากลง ก่อนจะอ้าปากอีกครั้ง แล้วก็ปิดปากลง จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเสียที
ปู้ชิวเหรินผู้ยืนอยู่ในกลุ่มฝูงชนมีเหงื่อเม็ดโป้งปรากฏขึ้นมาบนหน้าผากตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
เฉียวปี้อี๋เบิกตาโตด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
พวกเขาล้วนไม่เคยพบเห็นการสังหารผู้คนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้มาก่อน บัดนี้ หลายคนจึงรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวยขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทุกคนต่างก็รู้สึกเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า…
เฉินเป่ยหลินเป็นบุคคลสมองเสื่อมใช่หรือไม่?
หลังจากนั้น
เมื่อหมดกระสุนชุดที่สอง หลินเป่ยเฉินก็ยืนหอบหายใจและเริ่มรู้สึกชากับสองแขนจากแรงดีดสะท้อนของปืนกลมือรุ่นล่าสุด
แน่นอนว่าปืนกลมือที่ได้รับการอัปเกรดขึ้นมานั้นย่อมสามารถเจาะทะลวงร่างกายของจอมเทพจักราระดับ 5 ได้เป็นผลสำเร็จ แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพันก็ตาม
เศษเลือดเศษเนื้อสาดกระจายไปทั่วบริเวณ
แต่ทันใดนั้น ศพของเสวี่ยเฟิงชิงก็เริ่มซ่อมแซมตนเองอย่างช้า ๆ
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ถูกกราดยิงเข้าไปถึงขนาดนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องตายไปแล้ว แต่เสวี่ยเฟิงชิงเป็นผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพัน แน่นอนว่าย่อมตายยากมากกว่าผู้คนปกติ
แต่หลินเป่ยเฉินมีวิธี
เขานำแกลลอนใส่น้ำมันเบนซิน 97 ออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ก่อนจะเปิดฝาแกลลอนและเทน้ำมันราดใส่ซากศพ
ตามด้วยจุดไฟเผา
พรึ่บ!
เปลวไฟลุกโชนสว่างไสว
เสียงเนื้อไหม้ไฟดังฉ่า ๆ เป็นจังหวะ
แล้วซากศพของเสวี่ยเฟิงชิงที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัวก็ถูกเผาไหม้กลายเป็นก้อนกลม สุดท้าย ซากศพก็กลายเป็นเถ้าถ่านในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
เสวี่ยเฟิงชิงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่จากสำนักเฉิงเซินหลิวได้ตายแล้วจริง ๆ
“ไหนดูซิว่าตายจริงหรือเปล่า”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดและกระชับสายรัดเอวของตนเอง
น้ำมันเบนซิน 97 แกลลอนนี้เขาซื้อมาจากแอปเถาเป่า ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีประโยชน์อะไรบ้าง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าขาย เขาก็กล้าซื้อ หลินเป่ยเฉินคาดเดาว่าน้ำมันชนิดนี้ต้องจุดเปลวไฟที่มีความร้อนแรงมากกว่าเปลวไฟธรรมดาได้แน่นอน
และมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดจริง ๆ
ความเงียบงันปกคลุมในบรรยากาศ
หลินเป่ยเฉินอารมณ์เย็นลงแล้ว
ยังจะมีสิ่งใดทำให้บุรุษโกรธแค้นได้มากกว่าการถูกขัดจังหวะระหว่างอยู่กับคนรักอีก?
เขาค่อย ๆ นำบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง ก่อนจะถูมันกับแกลลอนใส่น้ำมัน แล้วเปลวไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นทันที ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นยามที่หลินเป่ยเฉินสูบบุหรี่ เขารู้สึกอารมณ์เย็นลงและเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองอาจกระทำรุนแรงเกินไปด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมายิ้มแย้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ทุกท่านไม่ต้องกลัว นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ปกติแล้วข้าไม่ใช่พวกนิยมความรุนแรงเลย”
ผู้คนล้วนตกตะลึง
“จริง ๆ นะ ข้าไม่ใช่คนประเภทนั้นหรอก”
หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยความอดทน ขยับเท้าก้าวเดินออกไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อพยายามกู้ภาพลักษณ์ของตนเองคืนมา
สีหน้าของกลุ่มคนล้วนตื่นกลัว และไม่อยากให้เขาเข้าใกล้
พวกเขาจึงถอยหลังหนี แม้แต่หลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้ก็ถอยหลังหนีเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินพยายามอธิบายต่อไปว่า “พวกท่านอย่ากลัวไปเลย ข้าเป็นผู้รู้จักผิดชอบชั่วดี เสวี่ยเฟิงชิงบุกรุกที่พักของข้า และก่อกวนความสงบของผู้คน นับเป็นโทษที่ให้อภัยไม่ได้ และนี่ก็เป็นบทลงโทษที่สาสมแล้ว”
หลังจากนั้น เขาก็หันไปจ้องมองทางพวกของหลี่ซืออี้ หลี่กวงอวี้และคนอื่น ๆ “จริงด้วยสิ ข้ายังไม่ได้ถามเลย พวกท่านมาทำอะไรหน้าที่พักของข้ามากมายถึงเพียงนี้?”
หลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้ผู้เป็นบุตรชายหันมองหน้ากัน
สัญชาตญาณร้องเตือนถึงอันตราย!!