เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1892 คำอธิบาย
ตอนที่ 1,892 คำอธิบาย
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่ซืออี้เคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง ไม่ว่าก่อนหน้านี้เฟิงซิงอวิ๋นเคยวางแผนอะไรเอาไว้บ้าง แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็แทบจะกลายเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่งเท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลสำคัญจากสำนักตงหลินผู้โด่งดังก็ตาม
แต่บัดนี้ สีหน้าก็แสดงออกถึงความหวาดกลัวที่แท้จริง
“อีกไม่นานการประกาศผลสอบก็จะเกิดขึ้นแล้ว หากเจ้าผ่านการสอบรอบแรกได้สำเร็จ ก็ยังมีการสอบอีกหลายด่านรอคอยอยู่ แล้วเจ้าจะมามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่เพื่ออะไรอีก?”
หลี่ซืออี้หันกลับมามองหน้าบุตรชายของตนเอง “เจ้ารีบกลับไปอ่านหนังสือก่อนเถอะ”
เฟิงซิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นจึงรีบหมุนตัวและออกเดิน
แต่เดินได้สองก้าว เขาก็หยุดชะงักและหันกลับมาถามว่า “ท่านพ่อ ลูกไม่เข้าใจเนื้อหาในบทที่ 31 ของตำรากฎแห่งแรงโน้มถ่วง ท่านพ่อช่วยตามมาชี้แนะลูกได้หรือไม่?”
หลี่ซืออี้ส่งเสียงครางในลำคอเล็กน้อย “ย่อมได้อยู่แล้ว”
หลังจากนั้น สองพ่อลูกก็หมุนตัวกลับ เดินตรงไปที่ประตูทางออก
เมื่อกลุ่มคนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็อดชื่นชมหลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้ไม่ได้จริง ๆ
พ่อลูกคู่นี้ช่างไร้ยางอายไม่มีใครเกิน!
ดีแต่ปากเก่งเท่านั้น!!
ระหว่างที่สองพ่อลูกจากสำนักตงหลินเดินตรงดิ่งไปที่ประตู พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังกดดันที่ตามมาข้างหลัง
เช่นเดียวกับสายตาแห่งความอาฆาตแค้นที่จ้องมองมาจากเฉินเป่ยหลิน
ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่มารับชมเหตุการณ์เพื่อความสนุกสนานไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว
ทุกคนทราบว่าจะต้องเกิดเหตุใหญ่ตามมาอย่างแน่นอน
แม้ว่าเฉินเป่ยหลินจะมีความน่าเกรงขาม แต่สำนักตงหลินนั้นเป็นผู้ที่แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด
ฟางซื่อหลี่ก็ถึงกับนิ่งเงียบแล้วเช่นกัน
เขาเองก็ไม่อยากให้หลินเป่ยเฉินสังหารผู้คนจากสำนักตงหลิน
แม้ว่าคู่พ่อลูกหลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้จะไม่ใช่ตัวดีอันใด แต่สำนักตงหลินก็ไม่ใช่ผู้ที่จะไปมีปัญหาด้วยได้ง่าย ๆ เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้วที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้ามีปัญหากับพวกเขา หากหลินเป่ยเฉินต้องการจะก่อความวุ่นวายในแวดวงผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาจริง ๆ นั่นก็คงก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ในอนาคตสำหรับผู้เข้าสอบชินเหลียนเซินแล้ว
บัดนี้ บรรยากาศยังคงตกอยู่ในความเงียบ
ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของสองพ่อลูกที่กำลังเดินตรงไปยังประตูทางออกเท่านั้น
และจังหวะที่หลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้กำลังจะไปถึงประตูนั้นเอง อยู่ดี ๆ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้น
“อะไรกัน? ไม่คิดอาละวาดใส่ผู้คนแล้วหรือ? ไม่ปากเก่งแบบเมื่อสักครู่นี้แล้วหรือ? พวกเจ้าบอกว่าจะฆ่านายท่านของข้าไม่ใช่หรือ? หรือสำนักตงหลินของพวกเจ้ากล้าพูดแต่ไม่กล้าทำ? อย่าเพิ่งหนีสิ รีบกลับมาแก้แค้นให้บุตรชายของเจ้าก่อน? หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าบุตรชายของตนเองถูกนายท่านของข้าฆ่าตาย?”
ผู้พูดย่อมเป็นหวังเฟิงหลิว
หัวหน้าหน่วยองครักษ์จากกองโจรกระบี่อวตารถูกทุบตีใบหน้าบวมช้ำจึงยังคงมีความโกรธแค้นอัดแน่นอยู่เต็มอก
บรรยากาศเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายหยุดชะงักอยู่กับที่
ทุกก้าวที่เดินไปข้างหน้าของหลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้นั้นจะปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และสองพ่อลูกก็ไม่กล้าสบตาผู้ใดอีกแล้ว
“นายท่านจะปล่อยพวกมันไปไม่ได้นะขอรับ นายท่านไม่ทราบหรอกว่าเจ้าสองคนนี้มันว่าร้ายนายท่านไว้อย่างไรบ้าง พวกมันบอกว่านายท่านเข่นฆ่าผู้คน ดื่มเลือดมนุษย์ ข่มเหงเด็กและสตรี มิหนำซ้ำ พวกมันถึงกับกล้ามาข่มขู่นายท่านถึงหน้าที่พัก…”
หวังเฟิงหลิวรีบรายงานโดยไม่ลังเล “มีแต่ข้าน้อยเท่านั้นที่ภักดีต่อนายท่าน แต่พวกมันกลับทำร้ายข้าน้อยจนบาดเจ็บถึงเพียงนี้…”
ให้ตายเถอะ
สองพ่อลูกจากสำนักตงหลินแทบจะเป็นลมแล้ว
พวกเขาจำได้ดีว่าตนเองไม่เคยปล่อยข่าวลือว่าร้ายเฉินเป่ยหลินอย่างนั้นเลย
นี่เป็นหวังเฟิงหลิวตั้งใจใส่ความพวกเขา
ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
“หืม?”
เด็กหนุ่มผู้เป็นนายท่านยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น… ก็คงยังให้ไปไหนไม่ได้สินะ”
หลี่ซืออี้ผู้เป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักตงหลินหันขวับกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่ดุร้าย เค้นเสียงถามว่า
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
หลี่กวงอวี้ไม่พูดอะไรเลยสักคำ แต่เขาก็รีบเดินออกมายืนขวางหน้าบิดาของตนเอง สีหน้าตึงเครียด คัมภีร์วิญญาณสีเงินปรากฏขึ้นในมือของเขา
นี่เป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าหลี่กวงอวี้พร้อมจะต่อสู้แล้ว
ทันใดนั้น รอบกายของสองพ่อลูกก็มีม่านพลังปกคลุมเป็นชั้นหนา มวลพลังกดดันแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
“ข้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นและทำท่าเสแสร้งแกล้งเป็นว่าตนเองกำลังถือปืนกลมือ “พวกเจ้าบุกรุกที่พักของข้า รบกวนความสงบสุขของข้า… และยังแอบดูข้า… ซ้ำยังทำร้ายองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของข้าคนหนึ่ง เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าข้าคิดจะทำอะไร? แน่นอนว่าข้าคิดที่จะฆ่าพวกเจ้าไงล่ะ”
ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว! ปิ้ว!
เสียงที่คล้ายคลึงกับเสียงของการระเบิดกระสุนพลันดังขึ้นอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อน
ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้คนพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นในอากาศ
แล้วม่านพลังที่คุ้มกันสองพ่อลูกจากสำนักตงหลินอยู่นั้นก็เพิ่มความหนาแน่นมากกว่าเดิมหลายเท่า
ฝูงชนที่ยืนดูเหตุการณ์รีบหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว แข้งขาอ่อนระทวย บางคนก็รีบร่ายคาถาสร้างม่านพลังคุ้มกันให้แก่ตนเอง…
แต่ในทันใดนั้น…
ไม่มีเศษเลือดเศษเนื้อปลิวกระจาย ไม่มีแขนขาที่ฉีกขาด ไม่มีภาพความน่ากลัวอย่างที่ทุกคนได้จินตนาการเอาไว้
กลุ่มบัณฑิตผู้หวาดกลัวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความสงสัย พวกเขารีบสำรวจร่างกายของตนเองและพบว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
ไม่มีลำแสงสีน้ำเงินพุ่งออกมาทำลายล้างสิ่งใดทั้งสิ้น
“ฮ่า ๆๆ…”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขัน “ปิ้ว ๆๆๆ …ขอโทษที่ทำให้ทุกท่านตกใจ เมื่อสักครู่นี้ เป็นข้าใช้ปากทำเสียงเอง เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าเลียนเสียงได้เหมือนหรือไม่?”
ผู้คนจากสำนักตงหลินทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น
หลินเป่ยเฉินแกล้งยกมือขึ้นทำท่าเหมือนกำลังถือปืนกลมือและกราดยิงใส่ไปยังกลุ่มคนผู้บุกรุกสถานที่พักของเขา “สำนักตงหลินอย่างนั้นหรือ? ปิ้ว ๆๆๆ พวกท่านบอกว่าตนเองแข็งแกร่งเป็นอันดับที่สองในอาณาจักรเล่ยฉื่ออย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆๆ ที่แท้พวกท่านก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง… ดูสีหน้าของพวกท่านในเวลานี้สิ จะตื่นกลัวอันใดถึงเพียงนั้น?”
เด็กหนุ่มยังคงหัวเราะด้วยความตลกขบขันต่อไป บรรดาผู้คนจากสำนักตงหลินเริ่มอับอายขึ้นมาแล้ว
หากเป็นในอดีต เมื่อมีผู้คนกล้าดูหมิ่นสำนักตงหลินถึงเพียงนี้ พวกเขาคงอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป
แต่ครั้งนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างร้ายกาจผู้นี้ มีฝีมือการต่อสู้ที่ดุดันน่าเกรงขามมากเกินไป
“เจ้า…”
หลี่กวงอวี้กัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น เดินออกมาข้างหน้าและถามว่า “เฉินเป่ยหลิน เจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เขาจุดบุหรี่สูบและพ่นควันโขมง กล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “สามชั่วยามก่อน ตอนที่ข้าสังหารคนที่มีชื่อว่าหลี่กวงซู มีคนเตือนข้าว่าข้าต้องเตรียมคำอธิบายเอาไว้ให้แก่สำนักตงหลินให้ดี ข้าตอบคนผู้นั้นกลับไปว่าเป็นสำนักตงหลินต่างหากที่ต้องมอบคำอธิบายให้กับข้า… ฮ่า ๆๆ บัดนี้ ไหน ๆ พวกเจ้าก็มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็จงมอบคำอธิบายให้กับข้าเดี๋ยวนี้!!”