เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1894 ไม่ต้องเรียกข้า
ตอนที่ 1,894 ไม่ต้องเรียกข้า
“เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เจ้ายังกล้ามาเจรจาต่อรองกับข้าอีกหรือ?”
หลินเป่ยเฉินแสยะยิ้ม “งั้นก็ตกลง”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลี่ซืออี้ที่กำลังกระตุกระริกพลันผ่อนคลายลงแล้ว
สีหน้ามีแต่ความเศร้าหมอง
นี่เขายื่นข้อเสนอเร็วเกินไปหรือไม่?
รู้อย่างนี้ลองเสนอไปสักครึ่งวันก่อนก็ดีหรอก
หลี่ซืออี้เริ่มลังเลว่าตนเองอาจจะกำลังหวาดกลัวมากเกินไป
แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
ภายใต้การเฝ้ามองของบุตรชายและลูกศิษย์ในสำนักคนอื่นๆ หลี่ซืออี้จำต้องนำคัมภีร์สีดำเล่มหนึ่งออกมาส่งมอบให้แก่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “นี่เป็นคัมภีร์ตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิฉบับคัดลอก มีเนื้อหาตรงกับคัมภีร์ต้นฉบับทุกประการ”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าชายวัยกลางคนร่างอ้วน แต่ยังไม่ยอมรับคัมภีร์
หลี่ซืออี้กัดฟันกรอด “หากไม่ได้เป็นลูกศิษย์สำนักตงหลินก็ไม่มีทางได้อ่านคัมภีร์เล่มนี้เด็ดขาด หากคุณชายไม่พอใจ งั้นก็ฆ่าพวกเราให้หมดเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นรับคัมภีร์สีดำเล่มนั้นมาถือในที่สุด “ก็ได้ ฉบับคัดลอกก็ไม่เป็นไร ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นคนจิตใจดีถึงเพียงนี้กันเล่า… ประเสริฐ ในเมื่อข้าได้สิ่งที่ต้องการแล้ว พวกเจ้าก็ไสหัวไปซะ อย่าอยู่ให้เกะกะสายตาข้าอีกเลย”
สองพ่อลูกตระกูลหลี่รีบหมุนตัวเดินออกไปทันที
ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
บรรดาผู้คนจากสำนักตงหลินก็รีบเดินหนีออกไปไม่ต่างจากระลอกคลื่นในมหาสมุทร
หลินเป่ยเฉินยืนกอดอกจ้องมองบรรดากลุ่มคนที่กำลังเดินตรงไปยังประตูทางออก
“เอ๊ะ? นั่นมันสหายปู้ไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกนเรียก “หยุดคุยกันก่อนสิ สหาย”
“เอ่อ… คือว่า…”
เมื่อปู้ชิวเหรินได้ยินเสียงเรียกก็สั่นเทาไปทั้งตัว เขาหันกลับมาด้วยแววตาอันขมขื่น “สหายเฉิน คือว่าข้าน้อย…”
ปู้ชิวเหรินหวาดกลัวแทบตายแล้ว
เขาไม่ทราบเลยว่าเฉินเป่ยหลินคิดจะทำสิ่งใดกับตนเอง
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างและกล่าวว่า “การพบกันถือเป็นวาสนาชนิดหนึ่ง คุณชายปู้อยู่ที่นี่ก่อนเถอะ พวกเราพูดคุยกันฉันมิตรสหายดีหรือไม่?”
ปู้ชิวเหรินสะดุ้งเฮือก ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม แต่แล้วก็เริ่มเกิดความลังเลเล็กน้อย
เขากัดฟันตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยคงไม่อาจเอื้อมเป็นสหายกับคุณชาย เพราะคุณชายสูงส่งมากเกินไปขอรับ”
นี่หมายความว่าปู้ชิวเหรินตั้งใจประจบหลินเป่ยเฉินเต็มตัวแล้ว
การที่เฉินเป่ยหลินเรียกเขาต่อหน้าคนของสำนักตงหลินจำนวนมากนั้น ปู้ชิวเหรินทราบดีว่าตนเองคงถูกผู้คนในสำนักเพ่งเล็งไม่น้อย และคนในสำนักตงหลินก็ไม่ใช่ตัวดีอันใด ต่อให้ปู้ชิวเหรินอธิบายอย่างไรคนพวกนั้นก็คงไม่เชื่อ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ ปู้ชิวเหรินจึงตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ข้างเฉินเป่ยหลินให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ
ปู้ชิวเหรินได้รับการสั่งสอนมาว่าหากจะต้องเลือกเป็นพรรคพวกของใครสักคน ปู้ชิวเหรินก็ต้องเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอ
“หืม? นั่นสหายเฉียวไม่ใช่หรือ? ไม่อยู่ดื่มน้ำชากันก่อนเล่า?”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงทักทายต่อไป
เฉียวปี้อี๋หยุดชะงักฝีเท้าและรีบพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก ตอบรับด้วยความตื่นเต้น “ข้าน้อยกำลังคอแห้งพอดีเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นการตอบรับของเด็กสาว กลุ่มศิษย์ของสำนักชูซานล้วนแต่แอบชื่นชมอยู่ในใจว่าศิษย์พี่ของพวกเขาช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน
หลายคนหันไปหาเฉียวฟู่ ผู้เป็นพี่สาวของเฉียวปี้อี๋ เพื่อจะขอความช่วยเหลือ
แต่เฉียวฟู่กลับทำเหมือนมองไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้และนางก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
สายตาของหลินเป่ยเฉินสะดุดเข้ากับเฉียวฟู่เช่นกัน
“นั่นพี่สาวของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ”
เฉียวปี้อี๋มองตามสายตาของเขาไปและกล่าวขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ
เห็นได้ชัดว่านางภาคภูมิใจในตัวของพี่สาวเป็นอย่างยิ่ง
“พี่สาวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“พี่สาวเจ้าค่ะ”
เฉียวปี้อี๋พยักหน้ายืนยันหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
ให้ตายเถอะ ยอดโฉมงามอย่างเฉียวปี้อี๋ที่มีความงดงามสมบูรณ์แบบอย่างที่สตรีผู้หนึ่งควรจะมีนั้น เหตุไฉนนางถึงได้มีพี่สาวเป็นหญิงร่างอ้วน ลักษณะไม่ต่างไปจากมนุษย์หมูตอนขนาดนี้ เสื้อคลุมบัณฑิตที่นางสวมใส่นั้นแทบจะปริแตกได้ทุกเมื่อแล้ว
เกิดมาจากท้องแม่เดียวกันแท้ ๆ ทำไมถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้?
“อิ ๆ พี่สาวของข้าน้อยเป็นคนดีนะเจ้าคะ”
เฉียวปี้อี๋ขยับเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน “ข้าน้อยรับประกันเลยว่าตัวตนที่แท้จริงของนางนั้นมีความงดงามมากกว่าข้าน้อยเสียอีก หากคุณชายเฉินสนใจ ข้าน้อยสามารถแนะนำให้ท่านได้ หรือว่าคุณชายอยากจะได้พวกเราทั้งพี่ทั้งน้องไหมล่ะเจ้าคะ?”
เดี๋ยวก่อนนะ นี่นางกำลังเสนอตัวเองกับพี่สาวให้เขาอยู่หรือ?
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจว่าตนเองดูเป็นคนหื่นกามขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
หลินเป่ยเฉินจ้องมองกลับไปด้วยแววตาเรียบเฉย “เป็นเช่นนั้นไม่ถูกต้อง”
เฉียวปี้อี๋ยกมือปิดปาก ท่าทางเอียงอาย
พลัน หลินเป่ยเฉินโบกมืออีกครั้ง “นั่นสหายเจียงหนานนี่นา คุณชายเจียง ได้โปรดหยุดก่อน”
“ไม่ต้องเรียกข้า ข้าไม่รู้จักท่าน พวกเราไม่รู้จักกัน…”
เจียงหนานรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเสมือนกระต่ายน้อยถูกเหยียบหาง และเขาก็อาศัยจังหวะที่หน้าประตูทางออกมีผู้คนเบียดเสียดกันอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงพริบตาเดียว เจียงหนานก็หายตัวไปในฝูงชนแล้ว
“เฮ้อ ข้าแค่อยากจะเตือนว่ากางเกงเขาเปียกหมดแล้วน่ะ”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าด้วยความอนาถใจ
บัดนี้ เขากำลังจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่อยู่บริเวณประตูทางออก
บรรดาหัวหน้าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ พวกเขาไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรกล่าวอย่างไรดี
ทุกคนต่างก็มีอายุไล่เลี่ยกับเด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้… ซึ่งถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีปัญหาทางสมองและไม่ใช่ผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา แต่เด็กหนุ่มกลับมีความแข็งแกร่งในชนิดที่สามารถสังหารผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพันที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราระดับ 5 ได้อย่างง่ายดาย
อย่าว่าแต่พวกเขาจะสามารถกระทำได้เช่นนั้นเลย แม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็คงกระทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
และหนึ่งในผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุดย่อมต้องเป็นมู่หรงเทียน หัวหน้าลูกศิษย์จากสำนักไทปิง
หมอยาหญิงร่างสูงยังคงตกตะลึงในสิ่งที่เห็น
ก่อนหน้านี้ นางเข้าใจว่าเฉินเป่ยหลินเป็นเพียงผู้มาใหม่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังมีปัญหาอยู่กับผู้ใด ดังนั้น เขาถึงกล้าสังหารหลี่กวงซู แต่บัดนี้ดูเหมือนว่า…
นางจะเข้าใจผิดไปเอง
“สหายมู่หรง สนใจอยู่ร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเชิญชวนราวลืมเลือนไปหมดสิ้นว่าเมื่อสามชั่วยามก่อน ตนเองเพิ่งทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บไปหมาด ๆ
“ไม่ล่ะ ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
มู่หรงเทียนนำศิษย์จากสำนักไทปิงเดินจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน จวนที่พักของหลินเป่ยเฉินก็กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง
“ขอบคุณอาจารย์ฟางที่ช่วยออกหน้าแก้ไขปัญหาให้แก่ข้าน้อยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับมาประสานมือทำความเคารพฟางซื่อหลี่ด้วยความอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง