เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1895 ร่วมดื่มน้ำชา
ตอนที่ 1,895 ร่วมดื่มน้ำชา
“ข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายนักหรอก ปัญหาทั้งหมดคุณชายหลินล้วนคลี่คลายได้ด้วยตนเองทั้งสิ้น” ฟางซื่อหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาที่จ้องมองหลินเป่ยเฉินนั้นไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ที่กำลังเอ็นดูบุตรหลานของตน “แต่การที่คุณชายบังคับให้อีกฝ่ายส่งตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิออกมานั้น นี่นับเป็นการฉีกหน้าสำนักตงหลินอย่างแท้จริง…”
“ฟังที่ท่านพูดออกมาเถอะ”
เฉียวปี้อี๋ส่งเสียงขัดจังหวะขึ้น “คุณชายเฉินฆ่าหลี่กวงซู ตัดแขนหลี่ซืออี้และทำให้หลี่กวงอวี้ต้องอับอาย นี่ต่างหากที่เรียกว่าการฉีกหน้าที่แท้จริง ไม่ใช่การขอยืมคัมภีร์บันทึกตำรับยามาสักหน่อย”
“นั่นไม่เหมือนกัน”
ฟางซื่อหลี่ส่ายศีรษะ “ก่อนหน้านี้ พวกเรายังพอมีทางประนีประนอมกันได้บ้าง เราเพียงมีปัญหากับตระกูลหลี่ มิได้มีปัญหากับทางสำนักตงหลิน แต่การที่เรานำคัมภีร์ตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิมานั้น นี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นสำนักตงหลินโดยตรง ทางฝ่ายนั้นคงไม่อยู่นิ่งเฉยเป็นแน่แท้…”
เฉียวปี้อี๋พลันขัดจังหวะด้วยความตื่นเต้นว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็ให้คุณชายเฉินฆ่าพวกเขาให้หมดสำนักเลยเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรสำนักตงหลินก็ไม่ใช่พวกตัวดีอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นศิษย์หรืออาจารย์ต่างก็เป็นตัวชั่วร้ายเหมือนกันหมดทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าผู้ใดมีเรื่องกับพวกเขาเป็นต้องถูกสังหารตกตาย อาณาจักรเล่ยฉื่อของพวกเราถูกสำนักตงหลินกดขี่มานานเกินไป ได้เวลาที่จะกำจัดพวกเขาแล้วเจ้าค่ะ”
ฟางซื่อหลี่ หลินเป่ยเฉินและปู้ชิวเหรินต่างก็หันไปจ้องมองที่เด็กสาวเป็นตาเดียวกัน
ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่านางจะสามารถกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาได้จริง ๆ
ไม่ทราบเลยว่านางอยากจะรับชมความสนุกสนานถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“อาจารย์ฟางสนใจอยู่ร่วมดื่มน้ำชากับพวกเราไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเอ่ยคำเชิญ
ฟางซื่อหลี่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า ข้าต้องรีบไปหาทางแก้ไขปัญหากับสิ่งที่คุณชายสร้างขึ้น”
กล่าวจบ ชายชราก็หมุนตัวเดินจากไป
“ช่างเป็นบุคคลที่น่าเคารพจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินรําพึงรําพัน
“จริงด้วยขอรับ”
หวังเฟิงหลิวพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินพลันตบหลังศีรษะของหวังเฟิงหลิวและกล่าวว่า “เจ้าทำอะไรอยู่? ยังไม่รีบไปซ่อมแซมประตูหน้าอีก”
“หืม? อ้อ กำลังจะไปเดี๋ยวนี้ละขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าปู้ชิวเหรินและถามว่า “คุณชายปู้ไม่คิดไปช่วยเขาบ้างหรือ?”
“ว่าไงนะ?”
ปู้ชิวเหรินยกมือชี้หน้าอกตัวเอง “ท่านจะให้ข้าเนี่ยนะไปช่วยเขาซ่อมประตู?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
บรรยากาศเริ่มแปลกประหลาดขึ้นมาในทันใด
หวังเฟิงหลิวดึงแขนเสื้อปู้ชิวเหริน
ปู้ชิวเหรินจึงเข้าใจอะไรบางอย่างและรีบตอบรับทันทีว่า “อ้อ จริงด้วยสินะ ความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของข้าไม่ได้อยู่ที่การศึกษา แต่เป็นการซ่อมแซมสิ่งของต่างหาก…”
หลังจากนั้น บัณฑิตหนุ่มก็เดินตามหวังเฟิงหลิวไปซ่อมแซมประตูรั้ว
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้แก่เฉียวปี้อี๋ “งั้นพวกเราเข้าไปดื่มน้ำชาด้านในกันเถอะ”
เฉียวปี้อี๋กะพริบตาปริบ ๆ จ้องมองบุรุษหนุ่มทั้งสองคนที่เดินไปซ่อมประตู ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและถามว่า “ดื่มน้ำชาจริงหรือเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินก็กะพริบตาปริบ ๆ เช่นกัน “เจ้าลองเดาดูสิ?”
“เป็นการดื่มน้ำชาจริง ๆ”
“อยากเดาอีกครั้งหรือไม่?”
“หืม? งั้นข้าเข้าไปเลยก็ได้”
ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะต่อกระซิก ก่อนจะเดินหายเข้าไปในจวนที่พักทั้งคู่
ปู้ชิวเหรินชำเลืองมองไปยังบุรุษหนุ่มและหญิงสาวคู่นั้น ก่อนที่น้ำตาจะค่อย ๆ ไหลออกมา
เพราะอะไรกันนะ?
เพราะอะไรโลกนี้ถึงต้องโหดร้ายกับเขาด้วย? นี่ชีวิตของเขาต้องคำสาปหรืออย่างไร? เหตุใดหญิงงามจึงทอดทิ้งเขาไปเช่นนี้?
ในเวลาเดียวกันนี้
เมื่อหลินเป่ยเฉินกับเฉียวปี้อี๋เปิดประตูเข้าไปในห้องรับแขก พวกเขาก็พบว่านักพรตหญิงชินกับเยว่หงเซียงกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์อยู่ด้านใน และเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก พวกนางก็หันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน… ก่อนจะตามด้วยเฉียวปี้อี๋
ดวงตาสี่คู่ประสานกัน
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบโดยทันที
เฉียวปี้อี๋หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
นี่เขาล้อนางเล่นใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
เขาตกตะลึงที่นักพรตหญิงชินสามารถเข้ากับเยว่หงเซียงได้เป็นอย่างดี พวกนางพูดคุยกันราวกับเป็นเพื่อนสนิทกันก็ไม่ปาน
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงกระแอมไอเล็กน้อย “พี่ชิน ข้านำตัวศิษย์อัจฉริยะจากสำนักชูซานมาแล้ว นางเคยมีประสบการณ์เข้าสอบกับสำนักศึกษาฉิวจื่อมาหลายปี พวกท่านลองปรึกษานางดูเถอะ”
เฉียวปี้อี๋เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
สรุปว่าเฉินเป่ยหลินพาตัวนางมาที่นี่เพื่อให้คำปรึกษากับชินเหลียนเซินอย่างนั้นหรือ?
“สหายเฉียว ข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินดันหลังให้เฉียวปี้อี๋เดินเข้าไปหาสองสตรีที่นั่งอยู่ภายในห้อง
“คือว่า… ข้าน้อย… ฮื่อ”
เฉียวปี้อี๋หยุดชะงักด้วยความลังเล แต่ก็ไม่ได้หันหน้าหนีแต่อย่างใด
ก็ใครใช้ให้เฉินเป่ยหลินมีหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้เล่า
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินกับเฉียวปี้อี๋จึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่
หลินเป่ยเฉินนำคัมภีร์ ‘ตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิ’ ออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่านี่เป็นสุดยอดคัมภีร์ของสำนักตงหลิน มันเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมความรู้ระดับสูงของพวกเขา น่าจะมีประโยชน์ในการทำข้อสอบอยู่ไม่น้อย อีกสามวันหลังจากนี้ หากพวกท่านมีชื่อเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกได้สำเร็จ ข้อมูลในคัมภีร์เล่มนี้ก็จะมีประโยชน์มากทีเดียว”
“เดี๋ยวก่อนนะเจ้าคะ?”
เฉียวปี้อี๋หันกลับมามองด้วยความไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน “หมายความว่าข้าน้อยก็สามารถอ่านคัมภีร์เล่มนี้ได้เหมือนกันหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมล่ะ หรือว่าเจ้าไม่อยากอ่าน?”
“คัมภีร์เล่มนี้เป็นสุดยอดคัมภีร์ระดับสูงของสำนักตงหลิน คนนอกไม่เคยมีโอกาสได้อ่านมาก่อน หากผู้ใดก็ตามที่แอบอ่านคัมภีร์เล่มนี้ ว่ากันว่าคนผู้นั้นจะถูกสำนักตงหลินตามล่าไปตลอดชีวิต…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ เฉียวปี้อี๋ก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมมากขึ้น “ดังนั้น ข้าน้อยจะอ่านมันเจ้าค่ะ”
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น นางคงไม่กล้าอ่าน
เพราะคัมภีร์เล่มนี้ไม่ต่างไปจากสิ่งของต้องคำสาป
แต่บัดนี้ เฉียวปี้อี๋ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
เพราะนางเห็นแล้วว่าเฉินเป่ยหลินสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
หลังจากนั้น หญิงสาวทั้งสามคนก็ทุ่มเทสมาธิไปกับการอ่านคัมภีร์ตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิ
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นสร้างค่ายอาคมปกคลุมทั่วห้อง ก่อนจะล่าถอยออกมาพลางกล่าวว่า “ข้าจะออกไปเฝ้าประตูให้ก็แล้วกัน”