เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1896 ตายเพื่อสำนักตงหลิน
ตอนที่ 1,896 ตายเพื่อสำนักตงหลิน
สิ่งที่เกิดขึ้นหน้าจวนที่พักของเฉินเป่ยหลินได้รับการกล่าวขวัญถึงในวงกว้าง
ทุกฝ่ายต่างก็ตกตะลึง
ไม่ว่าจะมีต้นสายปลายเหตุมาจากเรื่องใด แต่ความตายของผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพันขอบเขตจอมเทพจักราระดับ 5 นั้นย่อมเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเสมอ
เนื่องจากจะมีการประกาศผลสอบของสำนักศึกษาฉิวจื่อ บัณฑิตผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาจำนวนมากจึงมารวมตัวกันอยู่ที่อาณาจักรเล่ยฉื่อ ผู้คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ ล้วนแต่ตกตะลึงเมื่อได้รับทราบข่าวนี้ และหลังจากนั้น ก็ได้มีการส่งผู้คนไปสืบสวนประวัติความเป็นมาของเฉินเป่ยหลินโดยละเอียด
…
ณ จวนที่พักของสำนักตงหลิน
หลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่
กลุ่มศิษย์ของสำนักตงหลินหลายร้อยคนมายืนรวมตัวกันอยู่ที่ลานกว้างด้านนอก
มีทั้งบุรุษและสตรี
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ดวงตาของทุกคนจ้องมองไปยังสองพ่อลูกด้วยความคาดหวังบางประการ
หลี่กวงอวี้ก้าวเดินออกมาข้างหน้าสองก้าวและจ้องมองกลุ่มคนก่อนจะกล่าวช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและทรงพลังว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ข้ารู้ว่าทุกคนอยากจะล้างแค้นเฉินเป่ยหลิน แต่สหายทุกท่าน พวกเราจำเป็นต้องสู้ตามกลยุทธ์ พวกเราจะทำสิ่งใดที่โหดร้ายป่าเถื่อนไม่ได้เด็ดขาด…”
“ดังนั้น ข้าอยากขอร้องให้ทุกท่านกลับไปตั้งใจอ่านตำราเพื่อเตรียมตัวฟังผลสอบในอีกสามวันข้างหน้า หากพวกท่านมีชื่อได้ผ่านเข้าสู่การสอบรอบต่อไป ก็ไม่มีผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือพวกท่านได้อีกแล้วนอกจากตัวของพวกท่านเอง และข้าหลี่กวงอวี้ก็ยังอยู่ตรงนี้ ข้าขอรับปากกับทุกท่านว่าความอัปยศของสำนักตงหลินจะต้องถูกชำระล้างในอีกไม่ช้า เมื่อเวลานั้นมาถึง เฉินเป่ยหลินจะต้องตายโดยไร้แผ่นดินกลบฝัง และชินเหลียนเซินก็ต้องชดใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน ผู้ใดก็ตามที่ได้อ่านตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิโดยไม่ได้บรรจุเป็นคนของสำนักเรา มันผู้นั้นก็ต้องหายไปจากโลกนี้”
กลุ่มคนของสำนักตงหลินเมื่อได้ยินคำนั้นก็พร้อมใจกันประสานมือทำความเคารพ ก่อนจะแยกย้ายไปในความเงียบสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ต้องยอมรับเลยว่าหลี่กวงอวี้มีอิทธิพลต่อคนหนุ่มสาวในสำนักไม่น้อย
หลี่ซืออี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ผู้เป็นบิดาทราบดีว่ายุคสมัยของตนเองได้จบสิ้นลงแล้ว เขาไม่สามารถขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่ได้สำเร็จ แต่สำหรับยอดอัจฉริยะอย่างหลี่กวงอวี้ผู้เป็นบุตรชายของเขานั้นนับว่ามีความหวังมากทีเดียว บัดนี้ หลี่กวงอวี้มีสถานะเป็นหัวหน้ากลุ่มลูกศิษย์ของสำนักตงหลิน และได้รับการคาดการณ์ว่าในอนาคต หลี่กวงอวี้ก็จะขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักตงหลินเช่นกัน
สองพ่อลูกหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ค่ายอาคมปิดผนึกถูกเปิดใช้งานโดยทันที
เพื่อป้องกันการสอดแนม
“ท่านพ่อ พวกเราแจ้งข่าวการตายของหยวนสวีหลิวกับเสวี่ยเฟิงชิงให้เผ่ามนุษย์ทะเลทรายรับทราบเถอะ พวกเขาต้องส่งคนมาจัดการเฉินเป่ยหลินแน่ ๆ แม้พวกเราไม่ได้ลงมือเอง แต่เจ้าเด็กนั่นก็คงไม่มีชีวิตรอดอีกต่อไป…”
หลี่กวงอวี้กล่าวด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
เขาไม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำ บุรุษหนุ่มยังมีท่าทีคึกคักมากขึ้นอีกด้วย
รอยยิ้มอย่างใจดีปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหลี่ซืออี้ ชายวัยกลางคนร่างอ้วนยกมือขัดจังหวะบุตรชาย ก่อนกล่าวว่า “นับจากนี้ไป เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องนี้อีกแล้ว”
หลี่กวงอวี้หยุดชะงัก แล้วถามว่า “ทำไมล่ะขอรับ ท่านพ่อ?”
หลี่ซืออี้ตอบว่า “เรื่องราวที่ต้องแอบกระทำเช่นนี้ ปล่อยให้บิดาจัดการเถอะ จำเอาไว้ว่าเจ้าต้องเดินในหนทางแห่งแสงสว่างเท่านั้น ส่วนเรื่องราวสกปรกโสมม บิดาจะกระทำแทนเจ้าเอง… สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจิตใจเจ้าต้องสงบเข้าไว้ ตั้งใจอ่านตำรา เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบรอบต่อไปที่กำลังจะมาถึง”
หลี่กวงอวี้รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง “ท่านพ่อ…”
หลี่ซืออี้โบกมือเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “น้องชายของเจ้าตายแล้ว แต่เขามันใช้การไม่ได้ ตายแล้วก็ตายไปเถอะ เจ้าต่างหากที่เป็นความหวังของสำนักตงหลินและตระกูลหลี่ เหตุผลที่บิดายอมร่วมมือกับตัวชั่วร้ายอย่างเผ่ามนุษย์ทะเลทรายเหล่านั้นก็เพราะต้องการจะส่งเสริมเจ้าให้ไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่สูงมากขึ้น เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ปีนี้ราชันแห่งความรู้กงซานอิ๋งเฉวี่ยนจึงประกาศรับลูกศิษย์สายตรงของเขาเอง?”
หลี่กวงอวี้ตอบว่า “ก็เพราะว่าเขาอยากมีลูกศิษย์ไม่ใช่หรือขอรับ?”
หลี่ซืออี้ส่ายศีรษะและอธิบายว่า “ราชันแห่งความรู้แก่ตัวลงทุกวัน เขาพยายามอย่างหนักมาตลอดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถเลื่อนขั้นขึ้นสู่ระดับจอมเทพอนันต์ได้สักที บัดนี้ เมื่อใจเขาคิดรับลูกศิษย์ นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีหวังที่จะเลื่อนขั้นพลังได้อีกแล้ว”
“ด้วยเหตุนี้ เขาจึงอยากจะถ่ายทอดทุกอย่างที่ตนเองสั่งสมมาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความสามารถหรือขั้นพลัง ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิษย์ของเขาก็จะได้รับการถ่ายทอดไปทั้งหมด นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่บรรดาสำนักศึกษาใหญ่โตทั้งหลายถึงกับต้องส่งศิษย์อัจฉริยะของตนเองมาเข้าสอบ นอกจากนั้น หากได้กลายเป็นศิษย์สายตรงของราชันแห่งความรู้แล้ว คนผู้นั้นก็จะได้ศึกษา ‘คัมภีร์ปัญญาจักร’ ที่บรรพบุรุษแห่งสายเลือดผู้เยียวยาทิ้งเอาไว้อีกด้วย”
หลี่กวงอวี้สะดุ้งเฮือก ดวงตาร้อนผ่าวราวกับมีเปลวไฟแผดเผา
คัมภีร์ปัญญาจักร!
นั่นคือสุดยอดคัมภีร์แห่งผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา
ว่ากันว่าคัมภีร์เล่มนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือคัมภีร์วิญญาณประจำตัวของบรรพบุรุษแห่งผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาของพวกเขาอย่างกงซานซินนั่นเอง
หากได้เข้าถึงคัมภีร์เล่มนั้น ก็มีโอกาสที่ผู้คนจะได้เจริญเติบโตตามรอยเท้าของท่านบรรพบุรุษ
หลี่ซืออี้กล่าวต่อไป “ชะตาชีวิตของเฉินเป่ยหลินได้จบสิ้นลงแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดอยู่รอดเมื่อเป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์ทะเลทราย ต่อให้ตัวตนที่แท้จริงของเขาอาจจะเป็นคนสำคัญของสภาศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่เมื่อพบกับเผ่ามนุษย์ทะเลทราย เฉินเป่ยหลินก็ไม่มีทางรอดเด็ดขาด”
“สำหรับพวกเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดจะเกิดขึ้นหลังการตายของเฉินเป่ยหลินต่างหาก เจ้าต้องจับตัวชินเหลียนเซินมาให้ได้ สตรีผู้นี้มีความรู้และความสามารถเก่งกาจมากเกินไป เจ้าต้องฆ่านาง บูชายัญนางและหลอมรวมวิญญาณของนางให้กลายเป็นคัมภีร์วิญญาณซะ”
“เจ้าสามารถทำตามวิธีที่ระบุไว้ในคัมภีร์กลั่นวิญญาณ มันถูกเขียนอยู่ในบทของวิถีจันทราแปรผัน ตราบใดที่เจ้าสามารถหลอมรวมวิญญาณของนางให้กลายเป็นคัมภีร์วิญญาณได้สำเร็จ ประตูสู่การเป็นศิษย์คนโปรดของราชันแห่งความรู้ก็เปิดกว้างแล้ว… และนี่ยังเป็นการเปิดทางสู่ความยิ่งใหญ่ให้แก่บิดาเจ้าอีกด้วย”
หลี่กวงอวี้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างโดยทันที
“ดังนั้น การที่หยวนสวีหลิวไปหานางก่อนหน้านี้ ก็คงเป็นคำสั่งจากท่านพ่อเช่นกันสินะขอรับ?”
หลี่ซืออี้พยักหน้าตอบว่า “บิดาต้องการจะยืมมือหยวนสวีหลิวเป็นข้ออ้างในการจับตัวชินเหลียนเซินมาบูชายัญเพื่อนำวิญญาณมาหลอมรวมเป็นคัมภีร์ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเป่ยหลินจะเข้ามาขัดขวางกลางคัน… นี่ น้องชายของเจ้าตายแล้วก็จริง แต่เขาตายเพื่อสำนักตงหลินและตระกูลหลี่ของเรา นี่เป็นการเสียสละเลือดเนื้อเพื่อความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม หากเจ้าสามารถหลอมรวมคัมภีร์วิญญาณขึ้นมาได้สำเร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
…
“อ้อ ข้านึกออกแล้วว่าตนเองลืมสิ่งใด”
หลังจากที่เซียวปิงกลับมานั่งรับประทานไส้กรอกด้วยความไม่สบายใจนั้น อยู่ดี ๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “พวกเรานำเรือเหาะเล็กหลบหนีมาเช่นนี้ หากพี่ใหญ่ต้องการจะหลบหนีเช่นกัน พี่ใหญ่ก็ไม่มีเรือเหาะให้ใช้หลบหนีแล้วน่ะสิ…”
ฉู่เหินเบิกตาโต
นี่มัน… ฟังดูมีเหตุผลไม่น้อย
แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรดีนะ?
ส่งเรือเหาะกลับไปตอนนี้ดีหรือไม่?
“ส่งกลับไปตอนนี้ก็คงสายเกินไป”
เซียวปิงกล่าว “หากพี่ใหญ่ไม่เป็นฝ่ายลงมือฆ่าผู้คน ผู้คนก็คงเป็นฝ่ายลงมือฆ่าพี่ใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่น่าเป็นไปได้…”
ฉู่เหินส่ายหน้า “ตัวร้ายกาจอย่างพี่ใหญ่ของเจ้า พันปีจะมีสักหนึ่งคน เขาไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
“ช้าก่อน”
หวังจงส่งเสียงแทรกขึ้น “พวกท่านลืมไปแล้วหรือว่านายน้อยบรรลุขั้นจอมเทพจักราแล้ว บัดนี้ นายน้อยสามารถใช้ร่างของตนเองเหาะเหินเดินอากาศได้โดยไม่เกิดอันตราย อย่าว่าแต่หลบหนีเลย… ว่าแต่พวกท่านจะมานั่งกลุ้มกันอยู่ไย ไม่มีโทรศัพท์มือถือกันหรือ?”
เซียวปิงกับฉู่เหินหันมองหน้ากันโดยทันที
จริงด้วยสิ พวกเขาลืมโทรศัพท์มือถือไปได้อย่างไร?
เฮ้อ
เซียวปิงกับฉู่เหินพลันถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่ายตนเอง