เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1897 ราชาหินดำ
ตอนที่ 1,897 ราชาหินดำ
อาณาจักรเล่ยฉื่อ
สุสานร้างแห่งหนึ่ง
ราชาหินดำแห่งเผ่ามนุษย์ทะเลทรายค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาบนเนินเขาอันรกร้าง มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นหมุนวนในอากาศ ทันใดนั้น มวลอากาศรอบกายก็ปั่นป่วนเป็นกระแสคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แล้วในพริบตานั้นเอง นกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
เมื่อราชาหินดำเปิดดูข้อความที่อยู่ด้านใน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปทันที
“เสวี่ยเฟิงชิงตายด้วยน้ำมือของคนรุ่นหลังหรือนี่”
หัวใจของเขากระตุกวูบ
เดิมที สำนักเฉิงเซินหลิวไม่ได้สังกัดอยู่กับเผ่ามนุษย์ทะเลทราย แต่ด้วยความที่เสวี่ยเฟิงชิงเป็นทาสรับใช้ของผู้คนในเผ่ามนุษย์ทะเลทราย ราชาหินดำมองเห็นถึงศักยภาพของคนผู้นี้ จึงได้สั่งสอนวิชาและก่อตั้งสำนักเฉิงเซินหลิวให้เขาดูแลอย่างเป็นทางการ
บัดนี้ เสวี่ยเฟิงชิงมีหน้าที่เดียวคือร่วมมือกับสำนักตงหลิน เพื่อจัดการโค่นล้มสำนักศึกษาฉิวจื่อในทางลับ
เสวี่ยเฟิงชิงเป็นผู้ใช้สายเลือดผู้คงกระพัน อยู่ในขอบเขตจอมเทพจักรา ได้รับการฝึกสอนวิชาการต่อสู้โดยเผ่ามนุษย์ทะเลทราย จึงสมควรไม่มีปัญหาใดในการปฏิบัติภารกิจที่อาณาจักรเล่ยฉื่อ
หน้าที่ของเสวี่ยเฟิงชิงคือคอยจัดการทุกอย่างในเงามืด ห้ามมีปัญหากับผู้ใดเด็ดขาด
แล้วเหตุไฉนเสวี่ยเฟิงชิงจึงไปตายด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มปริศนานามว่า ‘เฉินเป่ยหลิน’ ได้เล่า?
“เฉินเป่ยหลิน เฉินเป่ยหลิน เฉินเป่ยหลิน… หลินเป่ยเฉิน?”
ราชาหินดำอ่านชื่อนั้นทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งและเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ดูจากข้อมูลที่บรรจุอยู่ในนกกระเรียนกระดาษตัวนี้ ราชาหินดำมั่นใจว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินเป่ยหลินนั้น น่าจะเป็นคนเดียวกับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเพิ่งจะก่อเรื่องวุ่นวายในเส้นทางของกลุ่มพันธมิตรโกลาหลและทำให้เผ่ามนุษย์ทะเลทรายได้รับความเสียหายไม่น้อย
เด็กหนุ่มผู้นี้คือผู้ที่พังทลายแผนการของพวกเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
คิดไม่ถึงเลยว่าในเส้นทางดาราจักรอันกว้างใหญ่ พวกเขากลับได้มาพบเจอกันรวดเร็วถึงเพียงนี้
หลินเป่ยเฉินมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองมากนักใช่หรือไม่?
“ระดมพล!”
ราชาหินดำระเบิดเสียงคำรามไปทั่วสุสานร้าง
แล้วนายทหารระดับสูงของหน่วยรบหินดำก็ปรากฏตัวออกมาในเวลาเพียงพริบตาเดียว
“ข้ามีภารกิจมอบให้พวกเจ้าทำ ภายในหนึ่งเดือนหลังจากนี้ อาณาจักรหลายแห่งจะถูกแช่แข็ง ไม่ว่าต้องทำอย่างไร พวกเจ้าก็ต้องตัดเส้นทางขนส่งของกองทัพเป่ยเฉินและอาณาจักรเกิงจินให้จงได้”
เสียงของราชาหินดำดังกังวานในหูของผู้คน บ่งบอกถึงความเย็นชาและอำมหิต
บรรดาขุนพลคู่ใจของราชาหินดำมีทั้งผู้ที่เป็นมนุษย์ อสูรและปีศาจ
ครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยอยู่ต่างฝ่ายต่างเผ่าพันธุ์
แต่บัดนี้ พวกเขารวมตัวเป็นหนึ่งเดียว…
พวกเขาคือนายทหารผู้เป็นทาสรับใช้ของราชาหินดำ หนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของเผ่ามนุษย์ทะเลทราย
ทุกคนล้วนทำตามคำสั่งของราชาหินดำโดยไม่มีข้อแม้
มิเช่นนั้น สิ่งที่จะรอคอยพวกเขาอยู่ก็คือความตาย
“นายท่านจะเดินทางไปที่ใดหรือขอรับ?”
ขุนพลคนสนิทผู้มีนามว่าหลิวอู๋ซินรีบสอบถาม
ราชาหินดำพยักหน้าตอบรับว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรีบไปจัดการ”
หลังจากกล่าวจบ ราชาหินดำก็พุ่งตัวเป็นลำแสงหายวับไปในอากาศ
ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ในสุสานร้างล้วนตกตะลึง
เผ่ามนุษย์ทะเลทรายกำลังจะเริ่มประกาศสงครามครั้งใหญ่ในอีกไม่ช้า
ยังจะมีสิ่งใดสำคัญมากกว่าการควบคุมการรบครั้งนี้อีกหรือ?
…
อาณาจักรเทียนอวี่
“นายทหารจ้าว”
เมื่อเห็นจ้าวเฉียง เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกองทัพปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เซี่ยอู๋ก็รีบวิ่งเข้าไปสอบถามทันที “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ได้ข่าวอะไรบ้างหรือไม่?”
นับตั้งแต่สิ้นสุดภารกิจการลอบสังหารผู้ส่งสาส์นของสำนักม่วงมหากาฬ เซี่ยอู๋และพรรคพวกก็เดินทางกลับมาที่อาณาจักรเทียนอวี่ผ่านประตูขนส่งของกองทัพเป่ยเฉินและนำคำพูดที่หลินเป่ยเฉินฝากบอกมาแจ้งไปยังเบื้องบนโดยทันที
แต่สถานะของพวกเขาต่ำต้อยเกินไป
คำพูดที่ฝากบอกไปยังท่านแม่ทัพใหญ่นั้นไม่ได้รับการตอบสนองกลับมา
เซี่ยอู๋เองก็เชื่อมั่นในคำพูดของหลินเป่ยเฉิน แม้ว่าการจะรายงานเรื่องหนึ่งเรื่องใดให้ถึงหูท่านแม่ทัพใหญ่นั้นจะต้องผ่านผู้คนมากมาย แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด เซี่ยอู๋จึงมีประสงค์ที่จะนำคำพูดของหลินเป่ยเฉินฝากบอกให้ไปถึงหูของท่านแม่ทัพใหญ่ให้ได้
ดังนั้น เมื่อการฝากบอกครั้งแรกไม่เป็นผล เซี่ยอู๋ก็ยังคงพยายามฝากบอกต่อไปอย่างไม่ลดละความตั้งใจเดิม
นี่ก็คือครั้งที่ยี่สิบแปดเข้าไปแล้ว
ครั้งนี้ ผู้ที่เซี่ยอู๋ฝากคำพูดนี้ไปบอกนั้นเป็นอดีตศิษย์พี่ร่วมสำนักศึกษาของเขาเอง จ้าวเฉียง
จ้าวเฉียงมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ทั่วไปในกองทัพ ถึงตำแหน่งจะไม่ได้สูงส่งอันใด แต่จ้าวเฉียงก็ติดต่อกับบรรดาคนใหญ่คนโตในกองทัพอยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้น ก็น่าจะนำข่าวไปแจ้งต่อท่านแม่ทัพใหญ่ได้เร็วมากกว่าผู้อื่น
“น้องชาย ไฉนจึงเรียกเป็นคนห่างไกลกันเช่นนั้น เรียกข้าว่าเหล่าจ้าวเหมือนเดิมเถอะ”
จ้าวเฉียงทำงานล่วงเวลามากว่าหนึ่งเดือนแล้ว จึงมีความอ่อนล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ เขาเพียงอยากจะนอนหลับเต็มอิ่มสักคืนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นหน้าของอดีตศิษย์น้องร่วมสำนัก จ้าวเฉียงก็มีสีหน้าที่สดชื่นขึ้นมาทันที
จ้าวเฉียงเดินเข้ามาตบไหล่เซี่ยอู๋พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าช่วยส่งข่าวให้กับเจ้าแล้ว แต่ช่วงนี้ท่านแม่ทัพใหญ่คงยังไม่ได้รับฟังหรอก เพราะตอนนี้กำลังเกิดการโจมตีเพื่อปิดเส้นทางขนส่งของพวกเรา ท่านแม่ทัพใหญ่ต้องลงไปบัญชาการที่สนามรบด้วยตนเองเป็นครั้งที่สามแล้ว”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
เซี่ยอู๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ยังส่งข่าวไม่สำเร็จอีกหรือ?
“เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ข้าได้ฝากข่าวไปยังสนามรบแล้วเช่นกัน อีกไม่นาน ข่าวนี้ต้องถูกรายงานไปถึงหูของท่านแม่ทัพใหญ่อย่างแน่นอน… ว่าแต่ว่าคนที่เจ้าพบเจอมาในครั้งนี้มีความสำคัญจริงหรือ? เจ้าแน่ใจนะว่าเขาเคยเป็นสหายเก่ากับท่านแม่ทัพใหญ่มาก่อน? เจ้าเชื่อถือคำพูดของเขาจริง ๆ ใช่หรือไม่?”
จ้าวเฉียงถามด้วยความสงสัย
เซี่ยอู๋ตอบว่า “คนผู้นี้… ข้าสามารถบอกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดา เขาคือคนที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาช่วยชีวิตข้าและเหล่าเจิ้งเอาไว้ และเขาบอกว่าเหตุผลที่เขาช่วยเหลือพวกเรานั้นเป็นเพราะว่าเขารู้จักกับท่านแม่ทัพใหญ่ ดังนั้น ข้าจึงเชื่อถือคำพูดของเขาขอรับ”
“อ้อ…”
จ้าวเฉียงอ้าปากหาวหวอด “หวังว่าสัญชาตญาณของเจ้าจะไม่ผิดพลาดก็แล้วกัน…”
หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย จ้าวเฉียงก็กล่าวต่ออีกครั้งว่า “บอกตามตรงนะ น้องเซี่ย ข้าชื่นชมเจ้ามาก ตอนแรกพวกเราศึกษาอยู่ในสำนักเดียวกัน ภายหลังได้บรรจุเข้าสู่กองทัพก็ยังร่วมฝึกการต่อสู้ในหน่วยเดียวกัน และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่อาสารับทำภารกิจที่อันตรายที่สุด อ้อ จริงด้วยสิ ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังจะแต่งงานแล้วนี่นา ฤกษ์งามยามดีวันไหนเล่า? เจ้าสาวเป็นผู้ใดมาจากไหน ถึงได้หลงรักคนบ้าอย่างเจ้าได้”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยอู๋ “ซินเอ๋อร์เป็นสตรีที่ข้ารู้จักระหว่างทำภารกิจ นางเกือบจะต้องสละชีวิตของตนเองแล้วขอรับ… บัดนี้เป็นช่วงเวลาแห่งสงคราม ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ข้าจึงอยากจะจัดพิธีให้เรียบง่ายมากที่สุด ตอนแรกข้าเห็นเหล่าจ้าวทำงานล่วงเวลามาอย่างยาวนาน จึงไม่กล้าส่งเทียบเชิญไปรบกวนขอรับ”
กล่าวจบ เซี่ยอู๋ก็ล้วงเทียบเชิญใบหนึ่งออกมาจากด้านในอกเสื้อและส่งมอบให้แก่จ้าวเฉียงในที่สุด
จ้าวเฉียงรับเทียบเชิญไปพร้อมกับกล่าวว่า “นี่มันอะไรกัน เจ้าก็รู้ ผู้คนในหน่วยเราชื่นชอบเจ้ามากเพียงใด หากเจ้าแต่งงาน ทุกคนก็ล้วนอยากจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยทั้งนั้น ฮ่า ๆๆ เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ไปคนเดียวหรอก ข้าจะพาทุกคนในหน่วยของเราไปด้วย”
“ข้าจะไปรบกวนพวกเขาได้อย่างไร…”
เซี่ยอู๋รีบพูดเร็วไว
จ้าวเฉียงกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่เคยกล่าวเอาไว้ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึก สิ่งสำคัญคือพวกเราห้ามลืมเลือนมิตรสหายและครอบครัวของตนเองเด็ดขาด การปฏิวัติครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งนัก แต่ครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน สำหรับพวกเราแล้ว งานแต่งของเจ้าก็จะเหมือนกับงานของคนในครอบครัว แล้วพวกเราจะไม่ไปร่วมแสดงความยินดีได้อย่างไร เจ้าวางใจเถอะ เดี๋ยวข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้าวเฉียงก็พาร่างที่เหนื่อยล้าของตนเองเดินจากไป