เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1900 ยอดฝีมือเร้นกาย
ตอนที่ 1,900 ยอดฝีมือเร้นกาย
“ก็ทำนองนั้นนั่นแหละ”
ชายชราชุดดำยกไวน์ขาวดื่มหมดอีกหนึ่งถ้วยใหญ่และกล่าวต่อไปว่า “แต่การที่ข้ากลับมาอาณาจักรเล่ยฉื่อในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น… บางที นี่อาจเป็นโชคชะตาและพรหมลิขิตก็เป็นได้”
“หืม? อย่าดื่มเร็วนักสิท่านผู้เฒ่า สุรานี้ราคาแพงนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินโพล่งออกมาด้วยความร้อนใจ
ถึงเขาจะตั้งชื่อมันว่าสุราฆ่าเวลา แต่ไวน์ขาวขวดนี้ก็มีราคาแพงไม่น้อยและชายชราชุดดำก็ดื่มคนเดียวจนเกือบจะหมดขวดแล้ว
ชายชราชุดดำยิ้มตอบกลับมาว่า “ไม่ต้องห่วง เราผู้เฒ่าจะไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบคนรุ่นหลังเด็ดขาด ไม่ว่าสุราของเจ้าราคาแพงเท่าไหร่ ข้าจะจ่ายให้แน่นอน บอกราคามาเถอะ”
หลินเป่ยเฉินรับฟังด้วยความลังเลใจว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่
ทันใดนั้น ดวงตาของชายชราก็เป็นประกายแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้ง “หรือถ้าเจ้าไม่ต้องการสุรา แต่รับเป็นความช่วยเหลือแทนก็ได้ หากในอนาคตเจ้ามีปัญหา เราผู้เฒ่าจะออกหน้าช่วยเหลือเจ้าสักครั้ง”
หลินเป่ยเฉินได้รับฟังเช่นนั้นสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันตา เขามองสภาพชายชราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็ต้องถอนหายใจ แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็แอบนำโทรศัพท์มือถือออกมาสแกนดูข้อมูลของชายชราชุดดำผู้นี้และผลลัพธ์ก็ปรากฏว่ามีเครื่องหมายตกใจเด้งขึ้นบนหน้าจอ!
เชี่ย!
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ชายชราผู้นี้เป็นยอดฝีมือเร้นกายอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ รีบเก็บโทรศัพท์มือถือและนำไวน์ขาวขวดใหม่ออกมาเปิดจุกอย่างรวดเร็ว
“ท่านผู้เฒ่า สุราเลิศรส โปรดดื่มอย่าได้เกรงใจ”
เด็กหนุ่มเทไวน์ใส่ถ้วยของตนเองและกล่าวต่อ “ท่านผู้เฒ่าคงล้อเล่นแล้ว สุราต่ำต้อยเพียงเท่านี้ ข้าน้อยจะคิดเงินท่านผู้เฒ่าได้อย่างไร… อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลยขอรับ”
ชายชราชุดดำอดหัวเราะออกมาไม่ได้
คนหนุ่มผู้นี้น่าสนใจสมคำเล่าลือจริง ๆ
“โบราณกล่าวว่าสุราเลิศรสยิ่งดื่มยิ่งบำรุงกำลัง ท่านผู้เฒ่าดื่มเลยขอรับ หมดถ้วยนี้แล้ว ข้าน้อยจะรินให้อีกสามถ้วย”
หลินเป่ยเฉินรีบประจบเอาใจอย่างไม่รอช้า
เมื่อพบเจอยอดฝีมือเร้นกายเช่นนี้ มีเหตุผลใดที่เขาจะไม่กอดขาเอาไว้เล่า?
แม้ว่าตัวของหลินเป่ยเฉินเองจะมีความแข็งแกร่งไม่ใช่น้อยอยู่แล้ว อาวุธปืนที่เขามีอยู่ในการครอบครองพลังทำลายล้างก็สูงส่ง ร่างกายยิ่งมีความแข็งแกร่งอย่างหาผู้ใดเทียบเคียงในอาณาจักรเล่ยฉื่อ แต่ถึงกระนั้น หากพบเจอยอดฝีมือที่แท้จริงขึ้นมา หลินเป่ยเฉินจะทำอย่างไร?
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงคิดหากำลังเสริมให้แก่ตนเองตั้งแต่เนิ่น ๆ
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าคนที่โทรศัพท์มือถือไม่สามารถสแกนข้อมูลได้ ต้องเป็นชนชั้นยอดฝีมือที่แท้จริงอย่างแน่นอน
เขามั่นใจว่าชายชราชุดดำผู้นั่งดื่มไวน์ขาวอยู่เบื้องหน้าคนนี้ คือยอดฝีมือเร้นกายที่ไม่มีผู้ใดรับทราบ
อย่างน้อยก็น่าจะมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราตอนปลาย
ยิ่งคิดหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความสุขและประพฤติตนเป็นเด็กหนุ่มผู้อ่อนน้อมขึ้นมาทันที
เมื่อหวังเฟิงหลิวกลับมาจากการวางเดิมพันและพบเห็นหลินเป่ยเฉินกำลังนั่งดื่มสุรากับชายชราชุดดำด้วยความสุภาพอ่อนน้อม เขาก็ต้องตกตะลึงยืนอยู่กับที่และต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด
“เราผู้เฒ่าเคยดื่มสุรามากมาย แต่ไม่เคยพบเจอสุราที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน”
ชายชราชุดดำกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เจ้าไปซื้อหามาจากที่ใดหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า “นี่เป็นสุราที่ข้าน้อยหมักขึ้นมาเองขอรับ… หากท่านผู้เฒ่าชื่นชอบ ท่านผู้เฒ่าก็ทิ้งที่อยู่ไว้ให้ข้าน้อยเถอะ เมื่อข้าน้อยหมักสุราชุดใหม่ได้แล้วก็จะส่งให้ท่านผู้เฒ่าได้ดื่มกินตลอดไป”
ไวน์ขาวที่เขาซื้อมาจากอินเทอร์เน็ตนั้น แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักราเมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็ยังเมามายได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่เป็นไร เราผู้เฒ่าจะไม่เอาเปรียบเจ้า สุราประเสริฐเช่นนี้ มีโอกาสได้ดื่มสักครั้งก็ถือว่าเป็นวาสนาชีวิตแล้ว”
ชายชราชุดดำส่ายศีรษะปฏิเสธ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้รบเร้าต่อ
ให้ตายเถอะ พวกยอดฝีมือเร้นกายนี่ระมัดระวังตัวกันจังเลยแฮะ
แล้วบุรุษต่างวัยก็ร่ำสุรากันไปพลางพูดคุยสัพเพเหระ
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปได้สองชั่วยาม
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
แว่วเสียงระฆังดังมาตามสายลม
ในที่สุด การสอบช่วงเช้าก็จบลง
กลุ่มคนรีบวิ่งไปรออยู่หน้าประตูไม่ต่างจากสายน้ำไหลทะลัก บรรยากาศกลับมาเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยดังอื้ออึงอีกครั้ง
เริ่มมีผู้เข้าสอบเดินกลับออกมาจากพื้นที่ทำข้อสอบของสำนักศึกษาฉิวจื่อด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป บางคนคึกคักแจ่มใส บางคนมืดมนเศร้าหมอง บางคนเคร่งเครียด บางคนใบหน้าซีดขาว… นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าการสอบในครั้งนี้มีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเขาเพียงใด
ผู้คนที่รออยู่หน้าประตูรีบวิ่งเข้าไปหากลุ่มคนที่เดินออกมา
“การสอบวิชาแรกจบลงแล้ว อีกครึ่งชั่วยามจะมีการประกาศคะแนน”
“ฮ่า ๆๆ วันนี้ข้าจะต้องกลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างแน่นอน”
“ภรรยาของข้าเอ่ยคำขู่เอาไว้แล้วว่าหากวันนี้ข้าหมดตัว ข้าจะต้องไปกระโดดหน้าผาตายเท่านั้น ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย”
บรรดานักพนันต่างก็จับกลุ่มพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง จุดรวมตัวของพวกเขาอยู่ที่หน้าแผ่นหินใหญ่ซึ่งจะใช้ประกาศคะแนนผู้เข้าสอบในอีกครึ่งชั่วยามให้หลัง หลินเป่ยเฉินและชายชราชุดดำก็นั่งอยู่ในบริเวณนั้นเช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้พวกเขาเลย
“ท่านผู้เฒ่าดื่มไปก่อนนะขอรับ ข้าน้อยขอไปรอรับแม่นางชินก่อน”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนปัดก้นตนเอง ทิ้งให้ชายชรานั่งอยู่กับขวดไวน์และเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
จังหวะที่เด็กหนุ่มเดินออกมานั้น บรรดาผู้คนที่รวมตัวกันอยู่หน้าแผ่นหินประกาศผลคะแนนนั้นก็ต้องส่งเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะว่าอยู่ดี ๆ ก็เกิดคลื่นพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากแผ่นหิน ทำให้ผู้คนต้องถอยห่างออกมา และไม่ว่าพวกเขาพยายามจะเข้าไปใกล้อีกสักเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีกแล้ว
หน้าประตูทางออกของพื้นที่ทำข้อสอบมีผู้คนมารวมตัวกันหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากเชื้อโรคร้าย ไม่ว่าเขาเดินผ่านไปพื้นที่ใด ผู้คนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นก็จะแตกฮือแหวกออกเป็นทางยาว
บัดนี้ ประตูที่เคยปิดก็เปิดกว้างแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินไปเกาะขอบประตูและชะโงกมองดูด้านใน
เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่ในบรรยากาศของโลกมนุษย์ใบเดิมอีกครั้ง
นี่คือภาพการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของบรรดาเด็กวัยรุ่นในช่วงฤดูร้อนของทุกปีชัด ๆ
หลี่กวงอวี้จากสำนักตงหลินพร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวนมากเดินส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“พี่กวงอวี้ ข้าว่าท่านน่าจะทำข้อสอบได้เกินเก้าสิบคะแนนไม่มีปัญหาเลยนะขอรับ”
“ฮ่า ๆๆ เจ้าพูดอะไรออกมา อัจฉริยะอย่างท่านพี่กวงอวี้นั้นต้องได้ไม่ต่ำกว่าเก้าสิบห้าคะแนนอยู่แล้ว”
“พวกเจ้าดูรอยยิ้มและความมั่นใจของศิษย์พี่กวงอวี้ซะก่อน”
บรรดาผู้ติดตามส่งเสียงประจบประแจงเอาใจ
หลี่กวงอวี้เพียงยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “การสอบประจำปีนี้ยากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตัวอักษรโบราณเหล่านั้น ข้าต้องนั่งนึกอยู่นานทีเดียวกว่าจะเข้าใจความหมายของมัน ก็ได้แต่หวังว่าคำตอบของข้าคงไม่ผิดล่ะนะ”
“อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่กวงอวี้อยากจะได้คะแนนเต็ม?”
“ฮ่า ๆๆ ตำรับยายี่สิบสี่จักรพรรดิของสำนักตงหลินนั้นก็บรรจุภาษาโบราณอยู่ไม่น้อย หากท่านพี่กวงอวี้จะได้คะแนนเต็ม นั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้วไม่ใช่หรือ?”
กลุ่มคนพูดคุยกันไปหัวเราะกันไปจนกระทั่งเดินมาถึงประตูทางออกแล้วเสียงหัวเราะก็เงียบกริบลงในทันใด
เพราะว่าพวกเขาเห็นหลินเป่ยเฉินแล้ว
รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าของกลุ่มผู้เข้าสอบทันที
หลังจากที่หลี่กวงอวี้หยุดชะงักเล็กน้อย เขาก็ยิ้มและผงกศีรษะทักทายหลินเป่ยเฉินไม่ต่างจากเป็นสหายเก่าได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง หลังจากนั้น หลี่กวงอวี้ก็นำพากลุ่มผู้ติดตามของตนเองเดินผ่านหน้าหลินเป่ยเฉินไปด้วยความสงบสุขุมเสมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินคร้านเกินกว่าจะไปใส่ใจอันใดอีกแล้ว