เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1905 ข้ามาเพื่อแก้แค้น
ตอนที่ 1,905 ข้ามาเพื่อแก้แค้น
สำหรับผู้ที่จะฝึกฝนตามวิถีสายเลือดผู้เยียวยานั้น นอกจากต้องมีหูตาที่ไวต่อการสัมผัสมากกว่าผู้คนทั่วไปแล้ว พวกเขายังต้องมีความทรงจำที่ดีเลิศสำหรับการจดจำข้อมูลต่าง ๆ อีกด้วย
เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องรักษาผู้คน ข้อมูลเหล่านั้นก็จะได้ถูกนำออกมาใช้งานโดยทันที
หลินเป่ยเฉินยังคงยืนรอคอยอยู่หน้าประตูด้วยความอดทน
ชายชราชุดดำเอาแต่ดื่มสุราไม่พูดไม่คุย
ท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“หลานสาวไม่ยอมพบหน้าท่านหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่”
ชายชราชุดดำตอบกลับมา “ตอนแรกนางก็ไม่อยากพบข้าหรอก แต่ตอนหลังนางก็ยินยอมพบข้า พวกเราทักทายกันด้วยดี”
“ถ้าอย่างนั้นมีอะไรรบกวนใจท่านผู้เฒ่าหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยังคงถามต่อไป “เหตุใดสีหน้าของท่านจึงได้เคร่งเครียดเช่นนี้?”
ชายชราชุดดำตอบว่า “ข้าพบว่ามีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตนเองผิดหวังยิ่งนัก”
“เรื่องอะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหูผึ่งขึ้นมาในทันใด
ชายชราชุดดำกล่าวว่า “ตัวชั่วร้ายที่ทำลายความรักของข้าในอดีตและทำให้ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้นั้น บัดนี้ เขากลายเป็นเพียงคนอ่อนแอผู้หนึ่ง ข้าผิดหวังก็เพราะเหตุนี้… ข้าอุตส่าห์กลับมาเพื่อแก้แค้นเขา แต่บัดนี้เขาไม่สามารถสู้กับข้าได้อีกต่อไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกเสียเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินรับฟังดังนั้นก็รู้แล้วว่าชายชราชุดดำมาที่นี่เพื่อแก้แค้น
“งั้นท่านจะทำอย่างไรต่อไป? เลิกแก้แค้นหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนชุดดำหัวเราะในลำคอ ตอบว่า “ตัวชั่วร้ายผู้นั้นทำให้ชีวิตของข้าต้องเปลี่ยนไป ไม่เคยมีผู้ใดทำให้ข้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้มาก่อน แล้วข้าจะเลิกล้างแค้นได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าเขาต้องการจะรับศิษย์ใหม่ ดังนั้น ข้าจะไปแก้แค้นกับลูกศิษย์ของเขา ข้าจะฆ่าลูกศิษย์ของเขา ทำให้เขาได้รับรู้รสชาติของความหมดหวังและการที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ฮ่า ๆๆ ข้าจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดเหมือนกับที่ข้าต้องทรมานมาตลอดหลายปี”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว
นับว่าชายวัยกลางคนชุดดำผู้นี้มีจิตใจโหดร้ายไม่ใช่เล่นเลยจริง ๆ
…
เพียงพริบตาเดียว การสอบในวันนี้ก็สิ้นสุดลง
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
เสียงระฆังดังกังวานเป็นสัญญาณยุติการสอบ
บรรยากาศที่เงียบสงบพลันมีเสียงพูดคุยดังกระหึ่ม
บรรดาผู้เข้าสอบต่างก็ทยอยปรากฏตัวเดินออกมาจากประตู
ผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูลานทำข้อสอบนั้นไม่ต่างจากกระแสน้ำป่าไหลหลาก
และเมื่อผลการสอบในรอบบ่ายถูกประกาศออกมา นักพรตหญิงชินก็ยังคงได้รับหนึ่งร้อยคะแนนเต็มโดยไม่ต้องสงสัย
แต่หากจะว่ากันตามตรง แม้แต่หลินเป่ยเฉินเองก็ยังตกตะลึงไม่น้อย
พี่ชินของเขาเพิ่งจะเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีผู้เยียวยาได้เพียงไม่นาน เต็มที่คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งปีและเป็นการเรียนรู้โดยที่ไม่มีผู้ใดคอยสอนด้วยซ้ำ
แต่ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ นักพรตหญิงชินกลับสามารถเอาชนะบรรดาบัณฑิตผู้มีพรสวรรค์เป็นจำนวนมากได้อย่างไร?
นี่เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเลย
หรือโชคชะตากำหนดให้นักพรตหญิงชินเกิดมาเป็นผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา?
เมื่อการสอบวิชาประวัติศาสตร์สิ้นสุดลง ผลคะแนนก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านนอก
แล้วสิ่งที่ทุกคนสงสัยก็ได้รับคำตอบ
ใช่แล้ว
ชินเหลียนเซินได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มอีกครั้ง
นี่ก็เป็นวิชาที่หกแล้วที่นางได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม
ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่แข่งกับนางได้อีกแล้ว
ผู้ที่ทำคะแนนตามมาเป็นอันดับสองคือเฉียวฟู่ นางทำได้ทั้งหมด 95 คะแนน
หลี่กวงอวี้ทำได้ไป 94 คะแนน ฉู่ชิงซือทำได้ไป 93 คะแนน มู่หรงเทียนทำได้ไป 90 คะแนน…
ส่วนผู้เข้าสอบคนที่เหลือไม่มีผู้ใดสามารถทำได้เกิน 90 คะแนน
ผลสรุปจึงออกมาเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘ชินเหลียนเซินแข็งแกร่งมากเกินไป ไม่มีผู้ใดจะรอบรู้ไปมากกว่านางอีกแล้ว’
บัดนี้ แม้แต่โต๊ะพนันก็ยังเดือดร้อน
เพราะความยอดเยี่ยมของชินเหลียนเซินทำให้พวกเขาต้องขาดทุนย่อยยับ
ในเมื่อผู้คนสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าผู้ใดจะได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่ง
แล้วโต๊ะพนันจะสามารถหลอกกินเงินของผู้เดิมพันได้อย่างไร?
เมื่อดูผลคะแนนที่ปรากฏออกมา หลินเป่ยเฉินก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไป พวกเรากลับไปฉลองกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า ก่อนกล่าวว่า “ยังเหลือการสอบวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน หากแม่นางชินของข้าทำได้แปดร้อยคะแนนเต็ม ดูซิว่ายังจะมีผู้ใดกล้าพูดจาอวดดีอยู่อีกหรือไม่?”
เขาพูดเสียงดังกังวาน แสดงออกถึงความยโสโอหังไม่มีปิดบัง
ไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มกลายเป็นที่เกลียดชังของผู้คนมากมายเพียงใดแล้ว
กลุ่มผู้เข้าสอบทุกคนต่างก็มีสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
“พี่เฉิน ตะโกนให้เสียงดังกว่านี้อีกสิเจ้าคะ”
เฉียวปี้อี๋กล่าวด้วยความกระตือรือร้น “แม้ว่าท่านจะต้องถูกผู้อื่นเกลียดชังมากขึ้นก็ตาม”
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าผากเด็กสาวเต็มแรง “เจ้าเด็กหน้าไม่อาย ดูคะแนนสอบของเจ้าก่อนเถอะ ค่อยคิดไปเยาะเย้ยผู้อื่น”
ประเสริฐ
ตลอดการสอบทั้งหกวิชาที่ผ่านมา เฉียวปี้อี๋ทำคะแนนสูงสุดได้เพียง 78 คะแนน และได้คะแนนต่ำสุดคือ 60 คะแนน เรียกว่าสามารถสอบผ่านได้อย่างเฉียดฉิว แม้อันดับของนางจะไม่ได้อยู่รั้งท้าย แต่เมื่อเทียบกับชาติตระกูลที่สูงส่ง นี่ก็นับว่าเฉียวปี้อี๋เป็นบุคคลที่ไร้ความสามารถโดยสิ้นเชิง
“ก็ข้อสอบมันยากนี่นา แล้วข้าก็ไม่ค่อยมีสมาธิด้วย”
เฉียวปี้อี๋กัดริมฝีปาก ตีหน้าเศร้า
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ นางคลุกอยู่กับพวกของหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา
ไม่มีทางที่เฉียวปี้อี๋จะไม่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตนเอง
ถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์ ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยาม
“งั้นพวกเรากลับที่พักกันก่อนเถอะ”
หลินเป่ยเฉินขี้เกียจพูดอะไรต่อ เขาเดินนำมาข้างหน้าโดยมีเฉียวปี้อี๋เดินตามมาฝั่งซ้ายมือและนักพรตหญิงชินเดินขนาบข้างอยู่ด้านขวามือ และหวังเฟิงหลิวก็เดินปิดท้ายมุ่งหน้าตรงไปยังจวนที่พักของตนเอง
“ช้าก่อน”
ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาขวางทางพวกเขา
คนผู้นี้เป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเก้าปี สวมใส่เสื้อคลุมบัณฑิตที่บอกไม่ได้ว่ามาจากสำนักศึกษาใด แต่สีหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งเครียด เด็กหนุ่มกางแขนขวางทางพวกของหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “พวกท่านยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น… ข้า… ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถามสักหน่อย”
ในพริบตาต่อมา สายตาของทุกคนก็จ้องมองมาที่พวกเขา
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเด็กหนุ่มที่ออกมาขวางทางของตนเอง
อีกฝ่ายมีใบหน้าซีดเซียว แววตาบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจและวิตกกังวล