เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1910 ผู้มาเยือนยามรัตติกาล
ตอนที่ 1,910 ผู้มาเยือนยามรัตติกาล
แต่แล้วในทันใดนั้นเอง ชายชราชุดดำก็หันหน้ามองไปทางกลุ่มคนของสำนักชูซานและกล่าวออกมาว่า “เจ้าจะไม่นับถือข้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้ายึดถือเจ้าเป็นหลานสาวของตนเองเสมอ… ฮ่า ๆๆ หากในอนาคตเจ้ามีปัญหา เจ้าสามารถมาหาเราผู้เฒ่าได้ทุกเมื่อ เราผู้เฒ่าจะหาทางช่วยเหลือเจ้าเอง”
คำพูดของชายชราก้องกังวานไปทั่วแผ่นฟ้า
สายตาของผู้คนจำนวนมากจ้องมองไปที่กลุ่มศิษย์ของสำนักชูซาน
โดยเฉพาะเฉียวปี้อี๋กับเฉียวฟู่ ซึ่งกลายเป็นศูนย์รวมสายตาของทุก ๆ คน
ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบอกได้ว่าชายชราชุดดำกำลังกล่าวกับพวกนาง
บางคนถึงกับแอบสงสัยด้วยซ้ำว่าเหตุไฉนหน้าตาของเฉียวปี้อี๋จึงมีส่วนละม้ายคล้ายกับชายชราชุดดำอยู่ไม่น้อย?
“ต่อให้ตระกูลเฉียวต้องล่มสลาย ข้าก็ไม่มีวันร้องขอความช่วยเหลือจากท่านเด็ดขาด”
เฉียวฟู่นำพาร่างกายขนาดมหึมาของตนเองเดินออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “ท่านไม่มีสิทธิ์มายุ่งเกี่ยวกับพวกเราอีกแล้ว”
ชายชราชุดดำหรี่ตาลง รอยยิ้มมีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในที่สุด เขาก็ถือขวดไวน์เดินจากไปอย่างแช่มช้า
“เจ้าหนู ค่อย ๆ คิดให้ดี ๆ หากโลภมากระวังลาภจะหาย”
นี่เป็นคำเตือนที่ชายชราชุดดำกล่าวต่อหลินเป่ยเฉิน
เมื่อชายชราชุดดำเดินหายลับไปจากสายตา บรรยากาศที่ตึงเครียดก็สลายตัวตามไป
เหลือไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดในอากาศ
ได้ยินเสียงผู้คนร้องไห้
การอาละวาดของชายชราชุดดำทำให้มีผู้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อย
และบางคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สร้างความตื่นกลัวและตกตะลึงให้แก่ผู้คนจำนวนมาก
ต่อให้บรรดาอาจารย์อาวุโสผนึกกำลังร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังไม่สามารถต่อกรกับชายชราชุดดำได้เลยแม้แต่น้อย
ภาพของอาจารย์อาวุโสที่ตกตายไปต่อหน้าต่อตากระทบกระเทือนจิตใจของคนหนุ่มสาวสายเลือดผู้เยียวยารุ่นใหม่อย่างหนักหน่วง
บุคลากรคนสำคัญแห่งอาณาจักรเล่ยฉื่อต้องเสียชีวิตไปในวันนี้เป็นจำนวนนับสิบคน
ชายชราชุดดำจึงกลายเป็นศัตรูของผู้คนทั่วอาณาจักรเล่ยฉื่อ
และนั่นยิ่งทำให้พวกเขาเกลียดชังหลินเป่ยเฉินมากยิ่งขึ้น แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะลงมือขัดขวางชายชราไม่ให้ทำร้ายผู้คนในภายหลัง แต่ดูเหมือนว่าผู้คนจะพยายามลืมเลือนไปว่าสิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สนใจ
เขาพบว่าบรรดากลุ่มผู้เยียวยารุ่นใหม่แห่งอาณาจักรเล่ยฉื่อไม่ได้เป็นตัวดีอันใด
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่าการอ่านหนังสือไม่ได้ช่วยขัดเกลาให้คนเราเป็นคนที่ดีขึ้น หากจิตใจของคนผู้นั้นมีความสกปรกต่ำช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดูอย่างเหล่าบัณฑิตแห่งอาณาจักรเล่ยฉื่อเป็นตัวอย่าง พวกเขาทั้งใจแคบ ชอบใส่ร้ายผู้อื่น เล่นพรรคเล่นพวก เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนมาก่อนผลประโยชน์ส่วนรวม… นี่คือหลักฐานที่ตอกย้ำว่าการอ่านหนังสือเยอะ ไม่ได้ช่วยทำให้เป็นคนดีขึ้นได้เลย
ไม่มีสิ่งใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้คนได้ นอกจากคนผู้นั้นต้องการจะเปลี่ยนแปลงตนเองจริง ๆ
ในเวลาเดียวกันนี้ ด้วยคำพูดทิ้งท้ายของชายชราชุดดำ กลุ่มศิษย์จากสำนักชูซานพลันตกอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยเฉพาะผู้คนจากตระกูลเฉียว
พวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงสายตาไม่เป็นมิตรที่จ้องมองมาจากรอบทิศทาง
…
รัตติกาลมาเยือน
ตามจวนที่พักภายในอาณาเขตหอคัมภีร์ค้ำฟ้ายังคงแว่วเสียงร่ำไห้ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
มีการจัดทำพิธีศพให้แก่บรรดาอาจารย์อาวุโสที่ต้องเสียชีวิตในวันนี้
กลุ่มอาจารย์ที่เสียชีวิตเป็นมิตรสหายที่คบหากันมาช้านาน แต่ละคนล้วนมีความสำคัญต่อสำนักของตนเองยิ่งยวด ดังนั้น การเสียชีวิตของพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
โคมไฟจุดสว่าง
ผู้คนเดินเข้าออกห้องตั้งศพจากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของบรรดาญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต เมื่อผู้ที่มาเข้าร่วมงานศพเห็นภาพเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเศร้าโศกและยิ่งโกรธแค้นมากกว่าเดิม
และทางสำนักศึกษาฉิวจื่อก็ได้ออกประกาศว่า…
การสอบจะดำเนินต่อไปตามปกติในวันพรุ่งนี้
ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับการสังหารผู้คนของชายชราชุดดำ
บรรยากาศบนภูเขาเหวินเต้าจึงแปลกประหลาดยิ่งนัก
คนจากสำนักตงหลินไม่อยู่นิ่งเฉย พวกเขาติดต่อไปที่สาขาใหญ่ของตนเอง และทำเรื่องร้องเรียนไปยังสมาพันธ์ผู้เยียวยาแห่งอาณาจักรเล่ยฉื่อให้ส่งยอดฝีมือมาจัดการชายชราชุดดำเพื่อแก้แค้นให้แก่บรรดาผู้ที่เสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมจากเหตุการณ์วันนี้
“ไม่ว่าผู้ใดก็จะมาอาละวาดเช่นนี้ไม่ได้”
“หากเราปล่อยให้ชายชราชุดดำลอยนวลไป แล้ววันข้างหน้าพวกเราจะทำอย่างไร? กงซานอิ๋งเฉวี่ยนต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างบ้างสิ”
“จริงด้วย ท่านอาจารย์ใหญ่กงซานอิ๋งเฉวี่ยนไม่ควรอยู่นิ่งเฉยเช่นนี้เลย”
“พวกเราขอเรียกร้องให้ท่านอาจารย์ใหญ่กงซานอิ๋งเฉวี่ยนออกมาจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”
บัดนี้ มีผู้คนมารวมตัวอยู่หน้าสำนักศึกษาฉิวจื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้นี่จะเป็นยามดึกแล้ว แต่ผู้คนก็ยังหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
…
ในเวลาเดียวกันนี้ ณ กระท่อมหลังน้อยในพื้นที่ห่างไกลของภูเขาเหวินเต้า บัณฑิตหนุ่มหลี่เซินเจี๋ยที่ออกมาขวางทางชินเหลียนเซินเมื่อตอนกลางวันเปิดประตูกระท่อมน้อยออกอย่างช้า ๆ และกระซิบว่า “เจวียนเอ๋อร์ พี่กลับมาแล้ว…”
“ท่านพี่”
เด็กหญิงตัวน้อยยื่นศีรษะออกมาจากห้องพักในกระท่อม
“นี่ รีบออกเดินทางได้แล้ว”
หลี่เซินเจี๋ยนำถุงเก็บของวิเศษออกมายื่นส่งให้น้องสาวพร้อมกับกำชับว่า “เจ้ารีบออกไปจากภูเขาเหวินเต้าโดยเร็วที่สุด ใช้เรือเหาะสาธารณะก็ได้ รีบกลับไปบ้านเกิดของเราและนำของในถุงนี้มอบให้กับอาจารย์ลู่”
“แล้วท่านพี่ล่ะ?”
เด็กสาวถามด้วยดวงตาเป็นประกายตื่นกลัว
หลี่เซินเจี๋ยยิ้มเล็กน้อย ลูบศีรษะเด็กหญิงและตอบว่า “พรุ่งนี้พี่ต้องเข้าสอบ”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไป
เมื่อเขาหันกลับมา หลี่เซินเจี๋ยก็ไม่ทราบเลยว่ามีผู้คนสี่คนมาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้มาเยือนทั้งสี่คนนั้นยืนอยู่หน้าประตูรั้วไม้ไม่ต่างจากวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร สายตาที่คนกลุ่มนั้นจ้องมองสองพี่น้องไม่ต่างจากสายตาที่ใช้มองซากศพคนตาย
“พวกท่านเป็นใคร…”
ดูเหมือนหลี่เซินเจี๋ยจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
แต่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถาม
ผู้มาเยือนทั้งสี่คนนั้นก้าวเท้าเดินมาข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
จิตสังหารแผ่ปกคลุมในอากาศ
วูบ!
ลำแสงเย็นเฉียบถูกยิงเข้าใส่หลี่เซินเจี๋ยและเด็กหญิงผู้เป็นน้องสาวของเขา
นี่คือเจตนาสังหารโดยไม่ต้องสงสัย
“กำบังป้องกันภัย”
หลี่เซินเจี๋ยร้องตะโกน
แล้วคัมภีร์วิญญาณประจำตัวเขาก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
ลำแสงที่พุ่งเข้ามากระทบถูกคัมภีร์วิญญาณที่ใช้เป็นโล่กำบัง แล้วลำแสงนั้นก็แฉลบออกไปทางด้านข้าง ผ่านร่างกายของสองพี่น้องไปอย่างเฉียดฉิว
หลี่เซินเจี๋ยรู้สึกเย็นวูบที่ข้างขมับ
ปรากฏว่ามีเลือดไหลซึมออกมาจากข้างขมับของเขาเล็กน้อย
“รีบหนีไป”
เด็กหนุ่มไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง รีบผลักน้องสาวให้ออกวิ่งพร้อมกับกระซิบว่า “ขนส่งประตูเงา”
“ท่านพี่…”
เด็กหญิงร้องตะโกน แต่แล้วร่างของนางก็ถูกเงามืดกลืนกินจนหายวับไปจากสายตา
หลี่เซินเจี๋ยไม่ได้เหลียวมองกลับไป เขารีบพลิกหน้าคัมภีร์อย่างเร่งร้อน “บ่อดิน... กินคน”
เด็กหนุ่มรีบร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง
คัมภีร์วิญญาณของเขาระเบิดแสงสว่างไสวท่ามกลางราตรีอันมืดมิด
มือสังหารทั้งสี่คนยังไม่ทันได้ตั้งตัว ขาของพวกเขาก็ถูกดูดหายลงไปใต้พื้นดิน ราวกับว่าพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่นั้นเป็นบ่อทรายดูดก็ไม่ปาน!