เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1911 ราตรีสังหาร
ตอนที่ 1,911 ราตรีสังหาร
บัดนี้ หลี่เซินเจี๋ยมีโลหิตไหลทะลักออกปากและจมูก
นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง
แต่เขาจำเป็นต้องทำ
เมื่อสักครู่นี้ หลี่เซินเจี๋ยพอจะคาดเดาได้ว่ามือสังหารเหล่านี้เป็นผู้ใดส่งมา และเขาเองก็ทราบว่าตนเองคงไม่ใช่คู่มือของมือสังหารทั้งสี่ ไม่มีทางที่เขาจะหนีรอดความตายในค่ำคืนนี้
ดังนั้น หลี่เซินเจี๋ยจึงพยายามใช้พลังทั้งหมดที่ตนเองมีถ่วงเวลาให้น้องสาวหลบหนีไป
“นางไม่รู้เรื่องอะไรด้วย… ข้ายอมตาย แต่พวกท่านอย่าได้ตามล่านางอีกเลย”
หลี่เซินเจี๋ยขอร้องอ้อนวอนด้วยความจริงใจ
แต่มือสังหารทั้งสี่ไม่มีความเมตตาหรือลังเลเลยแม้แต่น้อย
มือสังหารย่อมมีจิตใจด้านชาเป็นเรื่องธรรมดา
หนึ่งในมือสังหารนำวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งออกมาถือในมือและวัตถุชิ้นนั้นก็สร้างม่านพลังสีแดงปกคลุมร่างกาย
แล้วพวกเขาก็สามารถกลับมายืนอยู่บนพื้นดินได้ตามปกติอีกครั้ง
มือสังหารสองคนชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวและพุ่งเข้าหาหลี่เซินเจี๋ยด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด
ส่วนอีกสองคนวิ่งออกไปตามหาเด็กหญิง
หลี่เซินเจี๋ยยังไม่มีพลังมากพอที่จะขนส่งน้องสาวไปอยู่ในที่ห่างไกล
เด็กหญิงยังคงอยู่ในบริเวณนี้อย่างแน่นอน
หลี่เซินเจี๋ยกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ
ความแตกต่างของขั้นพลังมีมากเกินไป เขาจึงไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีกแล้ว
“ข้าไม่ควรทำเช่นนั้นเลย…”
เด็กหนุ่มจำได้ดีถึงสิ่งที่ตนเองกระทำลงไปเมื่อตอนกลางวัน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความละอายใจและความเศร้าเสียใจ
เป็นเขาเลือกทางเดินผิดเอง
เพื่อเงินทองและของวิเศษ เขาถึงกับยอมแลกศักดิ์ศรีของตนเองรับใช้คนชั่วผู้นั้น
ความคิดของหลี่เซินเจี๋ยดำเนินมาถึงตรงนี้ เสียงของคมกระบี่ที่ทะลวงผ่านร่างกายมนุษย์ก็ดังขึ้น
แต่ไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นอย่างที่คิด
หลี่เซินเจี๋ยเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
สิ่งที่เขาเห็นก็คือมือสังหารทั้งสองคนนั้นยืนอยู่เบื้องหน้า กระบี่ในมือของพวกมันยกขึ้นแทงใส่หัวใจและลำคอของตนเอง
แต่กระบี่ยังแทงได้ไม่ลึกนัก
ติ๋ง! ติ๋ง! ติ๋ง!
เสียงเลือดหยดลงบนพื้นดิน
มือสังหารทั้งสองคนหยุดชะงักอยู่ในท่วงท่านั้น
ด้านหลังของพวกมันมีบุรุษหนุ่มในชุดบัณฑิตสีขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ และเพียงเขาสะบัดมือเล็กน้อย กระบี่ในมือของสองมือสังหารก็ไปอยู่ในมือของเขาเรียบร้อยแล้ว
หลี่เซินเจี๋ยแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
มีผู้คนมาช่วยเหลือเขาอย่างนั้นหรือ?
เป็นผู้ใดกัน?
ไม่นะ เจวียนเอ๋อร์ นาง…
ในจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังคิดเป็นห่วงน้องสาว ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของนางร้องขึ้นว่า “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ท่านพี่…”
หลี่เซินเจี๋ยหันหน้ากลับไปมองและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นน้องสาวยังคงเป็นปกติดี
เขาโอบกอดน้องสาว ทันใดนั้น ก็นึกขึ้นมาได้ถึงบุรุษหนุ่มในชุดบัณฑิตสีขาวผู้ช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้
“ไม่ทราบว่าคุณชายผู้สูงส่งเป็นใครหรือขอรับ?”
หลี่เซินเจี๋ยถามด้วยความระมัดระวัง
รู้สึกหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย
“เจ้าอยากมีชีวิตอยู่รอดหรือไม่?”
บุรุษในชุดขาวกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก
หลี่เซินเจี๋ยกัดฟันตอบว่า “ย่อมอยากมีชีวิตอยู่”
“งั้นก็มากับข้าซะ”
บุรุษหนุ่มในชุดขาวผู้นั้นหมุนตัวและเดินนำทางออกไป
หลี่เซินเจี๋ยลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ติดตามเด็กหนุ่มผู้นั้นไป
พวกเขาเดินผ่านตรอกแคบ เดินผ่านถนนสายรองและมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนสายหลักที่สว่างไสว
ถึงจะเกิดเหตุสยองขวัญเมื่อตอนกลางวัน แต่บรรยากาศของภูเขาเหวินเต้ายามราตรีก็ยังคงคึกคัก และมีผู้คนจำนวนมากเดินอยู่บนท้องถนน บรรยากาศของเมืองใหญ่ทำให้หลี่เซินเจี๋ยรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เขาเคยคิดที่จะพาน้องสาววิ่งหนีไปหลายครั้ง แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ตนเองจึงเดินตามหลังบุรุษชุดขาวนั้นไปราวกับโดนมนต์สะกด
พวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
พวกเขาเดินเข้าไปยังห้องพักห้องหนึ่ง
“เป็นเจ้าเองหรือ?”
หลี่เซินเจี๋ยจำชายฉกรรจ์ผู้นั่งอยู่ในห้องพักแห่งนั้นได้โดยทันที
ชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นองครักษ์ประจำตัวของเฉินเป่ยหลิน
แต่บัดนี้ ชายฉกรรจ์ไม่ได้มีลักษณะเป็นเหมือนบ่าวขี้ประจบอีกแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องพักพร้อมกับคาดกระบี่ทองคำ บนโต๊ะจัดวางอาหารและสุราจำนวนมาก ชายฉกรรจ์มีสง่าราศีจนน่าเกรงขาม ทำให้หลี่เซินเจี๋ยอดนึกถึงบรรดาอาจารย์อาวุโสในสำนักศึกษาของตนเองขึ้นมาไม่ได้
“ผู้ใดสั่งให้เจ้าออกมาใส่ความชินเหลียนเซินเมื่อตอนกลางวัน?”
หวังเฟิงหลิวถามพร้อมกับรับประทานอาหารไปด้วย
หลี่เซินเจี๋ยยืนคุ้มกันน้องสาวที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับตอบว่า “หากจะให้ข้าบอก ก็ต้องมีสิ่งตอบแทน”
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
หวังเฟิงหลิวเคี้ยวเนื้ออสูรผัดเผ็ดพร้อมกับถามเบา ๆ
หลี่เซินเจี๋ยหันไปมองบุรุษชุดขาวที่นำทางพาตนเองมาที่นี่ บุรุษหนุ่มก้าวเดินออกไปข้างนอกและปิดประตูตามหลัง ทันใดนั้น หลี่เซินเจี๋ยก็รวบรวมความกล้ากล่าวว่า “พวกท่านต้องรับปากว่าจะไว้ชีวิตพวกเรา”
“นี่เป็นข้อเสนอที่เรียบง่ายและมีเหตุผล ข้ารับปากกับเจ้า”
หวังเฟิงหลิวให้คำมั่นสัญญา “บอกมาว่าใครใช้เจ้า แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตเจ้าสองพี่น้อง”
หลี่เซินเจี๋ยลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดออกมาในที่สุด “เป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักตงหลิน หลี่ซืออี้”
“เป็นเจ้าสุนัขเฒ่าตัวนี้จริง ๆ ด้วย”
หวังเฟิงหลิวได้รับคำตอบที่ตนเองต้องการ ก่อนจะโบกมือกล่าวว่า “ประเสริฐ พวกเจ้าสองพี่น้องไปได้แล้ว”
หลี่เซินเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“เท่านี้เองหรือ? ท่านไม่ต้องการหลักฐานเพิ่มเติมเลยหรืออย่างไร?”
หลี่เซินเจี๋ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
หวังเฟิงหลิวหันกลับมามองบัณฑิตหนุ่มผู้เติบโตขึ้นมาในเมืองชนบทของอาณาจักรเล่ยฉื่อ ก่อนจะยกถ้วยสุราขึ้นดื่มและตอบว่า “พวกเราต้องการรู้ความจริงเท่านั้น พวกเราไม่ต้องการหลักฐานอันใด”
หลี่เซินเจี๋ยสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวในถ้อยคำเหล่านั้น
จากนั้นเขาก็รีบหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูห้อง
แต่ทันใดนั้น หวังเฟิงหลิวคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงยกแขนเสื้อเช็ดคราบสุราบนริมฝีปากและถามว่า “แล้วเจ้าไม่สงสัยหรือว่าผู้ใดส่งมือสังหารไปลอบฆ่าเจ้า?”
หลี่เซินเจี๋ยหันกลับมาส่ายศีรษะ ตอบว่า “หนึ่งในมือสังหารเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหลี่ซืออี้ ข้าน้อยจำรูปร่างและดวงตาของเขาได้”
“หืม?”
ดวงตาของหวังเฟิงหลิวเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “น่าสนใจจริง ๆ เจ้าเป็นเพียงบัณฑิตชนชั้นต่ำต้อย แต่กลับสามารถยื้อยอดมือสังหารได้ถึงสิบห้าลมหายใจ มิหนำซ้ำ ยังจดจำดวงตาของพวกมันได้อีกด้วย… หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะอยู่เข้าสอบที่เมืองนี้ต่อไป บางทีในอนาคตข้างหน้า เจ้าอาจจะกลายเป็นศิษย์ที่ประสบความสำเร็จของสำนักศึกษาฉิวจื่อก็เป็นได้ นี่เป็นโอกาสเดียวในชีวิตเจ้าแล้วนะ”
หลี่เซินเจี๋ยหยุดชะงักโดยทันที
สีหน้าของเขาดูลังเลเล็กน้อย
แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว