เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1919 อัญเชิญวิญญาณคนตาย
ตอนที่ 1,919 อัญเชิญวิญญาณคนตาย
ฟางซื่อหลี่รีบอธิบายว่า “คุณชายเฉิน ท่านมีสิ่งของบางอย่างอยู่ในมือที่สามารถอัญเชิญวิญญาณคนตายได้”
หลินเป่ยเฉินนึกถึงสิ่งของบางอย่างขึ้นมาได้โดยทันที “หรือว่าจะเป็นตะเกียงวิญญาณจำนน?”
ฟางซื่อหลี่ผงกศีรษะ
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็รีบนำตะเกียงวิญญาณจำนนออกมาจากพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ของแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์อย่างไม่รอช้า
แล้วลำแสงสีฟ้าอ่อนก็สาดส่องออกมาจากตะเกียงดวงนั้น
หลินเป่ยเฉินชูตะเกียงขึ้นสูงด้วยมือข้างหนึ่งและเมื่อโคจรพลังปราณใส่เข้าไป ลำแสงของตะเกียงก็สาดส่องไปที่ร่างของหลี่กวงอวี้แต่เพียงผู้เดียว
“นี่มันอะไรกัน?”
สีหน้าของหลี่กวงอวี้ดูตื่นตระหนก
หลี่ซืออี้พยายามจะใช้พลังเวทมนตร์สลายลำแสงของตะเกียง แต่ก็ถูกฟางซื่อหลี่ขัดขวางได้ทันเวลา
วูบ!
เมื่อลำแสงตะเกียงสาดส่องไปที่ศีรษะของหลี่กวงอวี้ วิญญาณของผู้เสียชีวิตก็ถูกกระชากออกมาจากร่างกายของเขา
หลี่กวงอวี้เห็นเช่นนั้นก็ต้องอุทานด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้…”
เขาเข้าใจว่าเมื่อวิญญาณทั้งห้าดวงหลอมรวมเข้าสู่คัมภีร์วิญญาณของเขาแล้ว พวกมันก็จะกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังงานไร้รูปทรงเท่านั้น
“เจ้าหลอมวิญญาณคนตายไว้ใช้งานจริง ๆ ด้วย”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณใส่ลงไปในตะเกียงวิญญาณจำนนอีกครั้ง
แล้วการดูดวิญญาณออกจากร่างของหลี่กวงอวี้ก็เกิดขึ้นต่อเนื่องติด ๆ กันห้าครั้ง
“ที่แท้เจ้าก็อาศัยวิญญาณทั้งห้าดวงนี้โกงข้อสอบนี่เอง”
หลินเป่ยเฉินรีบเติมเชื้อฟืนเข้าไปในกองไฟ “หน้าด้านไร้ยางอาย แม้แต่บรรพบุรุษก็คงไม่อยากรับเจ้าเป็นลูกหลานอีกแล้ว”
สายตาของผู้คนก็มีแต่ความตกตะลึง
โกงการสอบด้วยวิญญาณคนตายอย่างนั้นหรือ?
นับว่าหลี่กวงอวี้ไม่ใช่ตัวดีเลยจริง ๆ
และผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นบรรดาศิษย์ของสำนักตงหลิน พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว
“ข้าถูกใส่ร้าย ข้าถูกใส่ร้าย นี่เป็นแผนการชั่วของพวกเจ้า”
ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตเช่นนี้ หลี่กวงอวี้พลันกลับมาสงบเยือกเย็นได้อีกครั้ง
เขาจ้องมองไปยังหลินเป่ยเฉินพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินเป่ยหลิน วิญญาณคนตายเหล่านั้นอยู่ในตะเกียงของเจ้ามาตั้งแต่แรก เจ้าเพียงเสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าดูดพวกมันออกไปจากร่างกายของข้า ข้าไม่รู้จักวิญญาณคนตายทั้งห้าตนนี้… ระดับความรู้ของพวกเขาจะมาช่วยเหลืออะไรข้าได้”
บังเกิดเสียงอุทานดังออกมาจากฝูงชนอีกครั้ง
ต้องยอมรับเลยว่าหลี่กวงอวี้สามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างชาญฉลาด
เพราะเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุที่เรียกว่าตะเกียงวิญญาณจำนนนั้น ไม่เคยมีผู้ใดรู้จักมาก่อน
หากนี่เป็นการเจตนากลั่นแกล้งหลี่กวงอวี้จริง ๆ ล่ะ?
“ฮ่า ๆๆ คิดจะเป็นผู้ร้ายปากแข็งอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะและกล่าวต่อไป “ต่อให้ข้ามีเจตนาอยากจะใส่ร้ายเจ้าจริง ๆ แต่สำนักศึกษาฉิวจื่อ จะปล่อยให้ข้าสังหารผู้คนเพื่อนำวิญญาณมาเก็บไว้ในตะเกียงดวงนี้ง่าย ๆ หรือ?”
เมื่อฝูงชนได้ยินคำตอบของเฉินเป่ยหลิน พวกเขาก็เห็นด้วยกับเหตุผลของเด็กหนุ่มขึ้นมาทันที
หลี่กวงอวี้หัวเราะในลำคอ “เฮอะ อาจมีคนในสำนักศึกษาคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่ก็ได้”
“ฮ่า ๆๆ ตกลงว่าเจ้าจะไม่ยอมรับว่าตนเองหลอมวิญญาณเหล่านี้สินะ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
หลี่กวงอวี้ตอบกลับมาว่า “ข้าไม่ยอมรับ”
“งั้นเจ้ากล้าสาบานหรือไม่?”
“แล้วเจ้าล่ะกล้าสาบานหรือเปล่า?”
“ข้ากล้าสาบาน”
“ไม่จำเป็นหรอก”
“เจ้ากลัวสินะ”
“เปล่าสักหน่อย”
“งั้นก็สาบานสิ”
“ไม่สาบาน”
“เห็นไหม เจ้ากลัวความผิดจริง ๆ ด้วย”
“ข้าไม่ได้กลัว!”
“งั้นก็สาบานเดี๋ยวนี้”
“ข้า… ขอสาบานว่าหากข้าสังหารผู้คนและหลอมรวมวิญญาณทั้งห้าตนนี้จริง ก็ขอให้ตระกูลหลี่ของข้าจงพินาศย่อยยับ”
“ประเสริฐ เจ้าพูดออกมาเองนะ”
เมื่อถูกหลินเป่ยเฉินกดดันหนักเข้า หลี่กวงอวี้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมลั่นวาจาเอ่ยคำสาบาน
แต่สำหรับหลี่กวงอวี้ นี่เป็นคำสาบานที่ไม่มีความหมาย ตราบใดที่เขาไม่ได้สาบานต่อคัมภีร์วิญญาณ ทุกอย่างก็ยังคงปลอดภัยดี
แต่ในทันใดนั้นเอง สีหน้าของหลี่กวงอวี้ก็แสดงออกถึงความหวาดวิตก
เพราะปรากฏว่าวิญญาณดวงหนึ่งที่แต่เดิมเป็นหมอกควันรูปทรงมนุษย์อย่างเลือนราง บัดนี้ วิญญาณดวงนั้นกลับมีหน้าตาอย่างชัดเจน และนั่นก็เป็นวิญญาณของ ‘เฉาซูอี้’ นั่นเอง
“เป็นอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความตลกขบขัน “คิดไม่ถึงเลยสินะว่าตะเกียงวิญญาณจำนนดวงนี้นอกจากจะสามารถดูดวิญญาณออกมาได้แล้ว ยังสามารถคืนสภาพความสมบูรณ์ให้แก่วิญญาณได้อีกด้วย ไม่ทราบว่าเจ้ามีคำใดจะพูดอีกหรือไม่?”
สีหน้าของหลี่กวงอวี้ดูสับสน บัดนี้เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เพราะว่าเขากำลังตกตะลึงมากเกินไป
และภายใต้การฉายลำแสงของตะเกียงวิญญาณจำนน วิญญาณของเฉาซูอี้ก็กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกครั้ง สีหน้าของเขาบอกชัดถึงความเจ็บปวดและโกรธแค้น
เขาจ้องมองพ่อลูกตระกูลหลี่พร้อมกับระเบิดเสียงคำรามว่า “หลี่ซืออี้ หลี่กวงอวี้… จงคืนชีวิตของข้ามาซะ”
เสียงคำรามของเขาดังชัดเจน
ผู้คนจากหอตำราซางฉีที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นจ้องมองด้วยความเหลือเชื่อ
เฉาชางชุนผู้เป็นท่านอาของเฉาซูอี้เบิกตาโต รีบวิ่งออกมาร้องถามด้วยความตกตะลึง “ซูอี้ เจ้า… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
วิญญาณของเฉาซูอี้หันกลับไปมองท่านอาของตนเองและร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายเลือด ก่อนกล่าวตอบด้วยความเจ็บใจ “ฝากท่านอาแก้แค้นให้ข้าด้วย ข้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน หลี่กวงอวี้หักหลังข้า มันให้ข้ารับประทานยาพิษและทรมานข้าจนตาย ก่อนจะนำวิญญาณของข้ามาหลอมรวมเพื่อเป็นทาสรับใช้มัน ท่านอาต้องแก้แค้นให้กับข้า…”
เฉาชางชุนพลันเข้าใจทุกอย่างโดยทันที
เขาหันกลับมาคำรามใส่สองพ่อลูกตระกูลหลี่ว่า “พวกเจ้าถึงกับกล้าฆ่าหลานชายของข้า… หลี่ซืออี้ ข้าต้องการคำอธิบาย!!”
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้ คนจากหอตำราซางฉีก็มายืนล้อมรอบสองพ่อลูกตระกูลหลี่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ส่วนคนจากสำนักตงหลินกำลังตกตะลึงและไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี ดังนั้น ในขณะนี้ พวกเขาจึงลืมที่จะคุ้มกันหลี่ซืออี้กับหลี่กวงอวี้ไปชั่วคราว
“เรื่องนี้…”
หลี่ซืออี้พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในโลกนี้ยังคงมีวิชาที่สามารถอัญเชิญวิญญาณคนตายกลับมาเปิดเผยความจริงได้เช่นนี้อีก
หลี่กวงอวี้ยังคงกัดฟันกรอดและปฏิเสธข้อกล่าวหาต่อไป “วิญญาณของเฉาซูอี้ถูกควบคุมโดยเฉินเป่ยหลิน นี่เป็นภาพลวงตา ผู้อาวุโสเฉา ท่านอย่าได้หลงกลเด็กชั่วผู้นี้ นี่เป็นแผนการใส่ร้ายข้า วิญญาณที่ท่านเห็นไม่ใช่วิญญาณของหลานชายท่าน”
สำหรับสถานการณ์ในขณะนี้ หลี่กวงอวี้ยอมตายดีกว่ายอมรับความจริง
ซึ่งประโยคนี้มันก็มากพอแล้ว ที่จะทำให้แววตาของเฉาชางชุนฉายความลังเลใจขึ้นมาทันที