เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 192 มีเรื่องเพราะเปิดหมวก
บทที่ 192 มีเรื่องเพราะเปิดหมวก
“นี่คือเหรียญตราพลเรือนระดับ 3 ดาว ผ่านการรับรองโดยจวนผู้ว่า กระทรวงศึกษาและกองทัพนักรบเมฆา” เฉินเจี้ยนหนานนำเหรียญตราที่มีลักษณะเหมือนเข็มกลัด มีรูปกระบี่ไขว้กันบนพื้นหลังสีดำยื่นส่งให้เด็กหนุ่มชิ้นหนึ่ง
“ของสิ่งนี้…เอาไปขายต่อได้ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามตะกุกตะกัก
เฉินเจี้ยนหนานเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนหน้าเงินขนาดไหน จึงตอบว่า “เอาไปขายต่อไม่ได้ มันเป็นเพียงเหรียญรางวัลสำหรับผู้สร้างเกียรติยศยิ่งใหญ่เท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้น…” หลินเป่ยเฉินทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่อึดใจใหญ่ก่อนจะถามต่อ “หากข้านำเหรียญตรานี้ไปขายพร้อมกับเกียรติยศเหล่านั้น จะมีใครรับซื้อไหมขอรับ?”
เฉินเจี้ยนหนานพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลังจากพยายามหาคำตอบที่ฟังดูถนอมน้ำใจมากที่สุด เฉินเจี้ยนหนานก็กล่าวออกมาว่า “เหรียญตราพลเรือนระดับ 3 ดาวเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ เมื่อเจ้าพกเหรียญตรานี้ติดตัวเอาไว้ ในอนาคตไม่ว่าเจ้าจะทำกิจการใดๆ ไม่ว่าจะเข้าร่วมกองทัพ สอบเข้าเป็นขุนนาง หรือผันตัวไปเป็นพ่อค้าวาณิช มันก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าได้ในทุกทาง และนั่นก็หมายความว่าความสำเร็จอยู่ในมือของเจ้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “สรุปก็คือเข็มกลัดชิ้นนี้ไม่มีผู้ใดรับซื้อสินะขอรับ”
เฉินเจี้ยนหนานพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมายาวแรง ก่อนที่จะเก็บเข็มกลัดใส่กระเป๋าในอกเสื้อ
อีกไม่นานเดี๋ยวเขาก็ต้องกลับโลกมนุษย์อยู่แล้ว
ไม่มีทางที่เขาจะกลายเป็นพ่อค้าวาณิช หรือขุนน๊างขุนนางในตัวเมือง และก็แน่นอนว่าการเข้าร่วมกองทัพก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เข็มกลัดชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์กับเขาเลยสักนิดเดียว
“ว่าแต่ไม่มีอะไรอีกแล้วหรือขอรับ?” หลินเป่ยเฉินพลันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ข้าสังหารโจรได้มากมายขนาดนั้น ทางการไม่มีเงินรางวัลมอบให้บ้างหรือ?”
เฉินเจี้ยนหนานตอบว่า “ไม่มี”
“ไม่มีจริงๆ หรือขอรับ?”
“ไม่มีจริงๆ”
“สักเหรียญทองแดงเดียวก็ไม่มี?”
“ไม่มี”
คำตอบที่ได้รับทำให้หลินเป่ยเฉินกลับมารู้สึกเกลียดชังจักรวรรดิเป่ยไห่อีกครั้ง
เฉินเจี้ยนหนานอธิบายต่อว่า “สมาคมนักล่าอสูรไม่เคยเข้ามาอาละวาดในตัวเมืองมาก่อน เพราะฉะนั้น พวกเราจึงไม่เคยตั้งค่าหัวของพวกมัน อีกอย่าง การกวาดล้างสมาคมนักล่าอสูรได้สำเร็จคือเรื่องราวที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงในวงกว้าง เราไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชนได้เด็ดขาด ขณะนี้จึงมีคนรู้เรื่องที่เจ้าทำความดีความชอบไว้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
“พูดง่ายๆ ก็คือ ข้าจะไม่ได้รับทั้งชื่อเสียงและเงินทองใช่ไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด
เฉินเจี้ยนหนานพยักหน้า
แต่เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มอัจฉริยะผู้อยู่เบื้องหน้ามีท่าทางกระฟัดกระเฟียด เฉินเจี้ยนหนานจึงกล่าวต่ออีกครั้ง “เจ้าสามารถกวาดล้างกลุ่มกองโจรได้สำเร็จ แต่กลับไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทน อาจฟังดูประหลาดไปสักหน่อย แต่ตอนนี้จักรวรรดิของเราอยู่ในสภาวะฝืดเคือง หวังว่าเจ้าคงเข้าใจ”
เข้าใจกับผีน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินคำรามอยู่ในใจ
“ว่าแต่เจ้าเถอะ หลังจากนี้คงต้องระมัดระวังตัวหน่อย สมาคมนักล่าอสูรประจำแดนเหนือมีหูตาอยู่มากมาย บัดนี้พวกมันอาจกำลังจับตามองเจ้าอยู่ก็เป็นได้”
เฉินเจี้ยนหนานเตือนด้วยความหวังดี
พูดจบแล้ว นายทหารใหญ่ก็หมุนตัวเดินจากไป
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง สุดท้ายเขาก็หันหน้ากลับมาหาไป๋ชินหยุน
เด็กสาวยกมือกอดอกยิ้มแฉ่งให้หลินเป่ยเฉิน
ตาต่อตาประสานกัน
หลินเป่ยเฉินแสร้งยิ้มออกมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์
“ศิษย์น้องไป๋ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเวลาฝึกกระบี่กับเจ้าแล้วข้ามีความสุขขนาดไหน หลังจากนี้ไป เรามาฝึกกระบี่ด้วยกันทุกวันเถอะ”
“ศิษย์พี่หลิน ไหนท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องฝึกกระบี่กับข้าอีกแล้วไม่ใช่หรือ?”
“ข้าจะไปพูดแบบนั้นได้อย่างไร”
“จริงนะ?”
“จริงสิ”
“ตกลง งั้นพวกเราไปที่ลานประลองกัน”
ไป๋ชินหยุนเดินพลางกระโดดดึ๋งๆ นำทางไปอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินเดินคอตกตามหลังไปด้วยความเศร้าสลด
นับเป็นภาพที่แปลกตาเป็นอย่างยิ่ง
ในไม่ช้า ทั้งสองคนก็เดินมาถึงสนามหญ้าแห่งหนึ่ง
ยังไม่ทันจะมีการฝึกฝนเกิดขึ้น รอบพื้นที่ซึ่งถูกแยกไว้เป็นลานประลองกลับมีผู้คนรวมตัวกันอยู่หนาแน่น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลูกศิษย์ประจำชั้นปีที่ 2 และปีที่ 3 หลายคนกำลังยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก หลายคนก็ส่งเสียงตะโกนโวยวาย หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนไม่ทราบเลยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
มีคนทะเลาะกันหรือ?
การที่ลูกศิษย์ร่วมสถาบันจะมาต่อสู้กันที่ลานประลองไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
แต่ไม่เคยมีกลุ่มคนดูมากมายขนาดนี้มาก่อน
หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดจะสนใจ
เขาเดินไปหยิบอาวุธที่อยู่บนชั้นวางข้างลานประลอง เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือแล้วถึงได้หันหน้ากลับมา
ผลั่ก!
พลัน เงาร่างของคนผู้หนึ่งลอยกระเด็นออกมาจากกลุ่มคนดู ตกกระแทกพื้น ไถลมาหยุดอยู่ตรงปลายเท้าหลินเป่ยเฉิน
“เจ้ารังแกผู้คนมากเกินไปแล้ว…”
ผู้ที่ลอยกระเด็นออกมาเป็นลูกศิษย์ห้อง 8 ประจำชั้นปีที่ 2 เขามีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก พยายามยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าอิจฉาที่พี่เยว่สามารถเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ ก็เลยเจตนาจะทำให้นางอับอาย…”
“ฮ่าฮ่า พวกข้าก็แค่เปิดหมวกของนางออกดูเท่านั้น มันจะเป็นปัญหาอะไรนักหนา?” ลูกศิษย์จากชั้นปีที่ 3 คนหนึ่งหัวเราะในลำคอ “อีกอย่าง พี่กวนไม่รู้สักหน่อยว่านางนั้นได้เสียโฉมไปแล้ว”
“นั่นมัน…”
“น่ากลัวชะมัด”
“โห คนอะไรเหมือนมีตะขาบพาดอยู่บนหน้าตลอดเวลา…”
“น่าเกลียดน่ากลัวเกินไปแล้ว”
“ถ้ารู้ว่าใบหน้านางจะอัปลักษณ์ขนาดนี้ พวกข้าจะต้องเปิดหมวกของนางออกทำไม”
บรรดาลูกศิษย์จากชั้นปีที่ 3 พากันหัวเราะเหยียดหยามอย่างสนุกสนาน
ไป๋ชินหยุนได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที
แต่นางก็เห็นว่าสีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
แน่นอนว่าก่อนที่ไป๋ชินหยุนจะทันได้พูดอะไร นางก็เห็นพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาเป็นสีสันสดใส ก่อนที่ตัวของเด็กหนุ่มจะกระโดดเข้าไปในใจกลางกลุ่มคน
ในวงล้อมของกลุ่มคนเหล่านั้น
เยว่หงเซียงกำลังก้มลงเก็บหมวกปีกกว้างที่หล่นอยู่บนพื้นดิน
นางสะบัดหมวกไล่เศษดินเศษทรายออกจากผ้าลูกไม้สีดำที่เย็บติดอยู่กับปีกหมวก ระหว่างนั้นก็จ้องมองกวนเฟยตู้ด้วยสีหน้าเย็นชาและกล่าวว่า “ศิษย์พี่กวน พอจะมีเวลาแนะนำข้าน้อยสักหลายกระบวนท่าหรือไม่?”
กวนเฟยตู้ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความตกตะลึง…
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเยว่หงเซียงกลายเป็นยัยหน้าผีไปแล้ว
เด็กหนุ่มเพียงขุ่นเคืองที่นางสามารถผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายได้ด้วยการช่วยเหลือของหลินเป่ยเฉิน แล้วยิ่งในระยะหลังเห็นเยว่หงเซียงสวมหมวกปีกกว้าง หลบหน้าหลบตาผู้คนอยู่เบื้องหลังผ้าลูกไม้สีดำนั้นตลอดเวลา เขาจึงเจตนาเปิดหมวกของนางออก เพื่อที่จะก่อกวนให้เสียอารมณ์เท่านั้นเอง
นี่ควรจะเป็นแค่เรื่องตลกขำขัน
แต่บัดนี้มันไม่ใช่เรื่องตลกอีกแล้ว
เยว่หงเซียงเคยมีใบหน้าสะสวย ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสาวงามที่สุดของสถาบัน ทว่า เมื่อมีรอยแผลเป็นเหมือนตะขาบสองตัวไขว้กันอยู่บนข้างแก้มซ้าย ความงดงามทั้งหมดที่เคยมี ก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความอัปลักษณ์โดยทันที
“ข้าไม่รู้…เจ้าจะมาโทษข้าไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าก่อนล่ะ?” กวนเฟยตู้พูดเสียงแข็ง
ลูกสมุนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาส่งเสียงสอดขึ้นมาว่า “โดนเช่นนี้เจ้าก็สมควรแล้ว ความสามารถไม่มี อาศัยเพียงเกาะหลินเป่ยเฉินเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้อย่างหน้าไม่อาย…เฮอะ มีใครรู้บ้างว่าระหว่างที่อยู่ในค่ายพัก เจ้าไม่ได้แอบปีนขึ้นเตียงหลินเป่ยเฉินยามราตรี…”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบกับศีรษะผู้คนพลันดังสนั่นหวั่นไหว
ลูกสมุนของกวนเฟยตู้รู้สึกเหมือนมีค้อนทุบลงมาที่ศีรษะของเขา ร่างกายหมุนคว้างก่อนที่จะลอยกระเด็นออกไป…
แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินแหวกผู้คนเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเยว่หงเซียง
ที่แท้ก็คือหลินเป่ยเฉิน
“เจ้าพวกปากไม่มีหูรูด วันนี้พวกเจ้าไม่ตายดีแน่”
เขาคำรามเหมือนราชสีห์โกรธา
เมื่อกวนเฟยตู้เห็นว่าเป็นผู้ใดเดินออกมา ก็ถึงกับต้องผงะถอยหลังไปหลายก้าว พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้า…”
“แย่แล้วพวกเรา พี่ซงอาการไม่ค่อยสู้ดีแล้ว…”
ลูกศิษย์ร่วมชั้นปีที่สามซึ่งยืนอยู่แถวนั้น ส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ซงโหยวคือชื่อของลูกสมุนกวนเฟยตู้ที่โดนหลินเป่ยเฉินตบกระเด็นไปหน้าฟาดพื้น บัดนี้ ใบหน้าของเขาบวมช้ำ มีเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก แขนขากระตุก หมดสติไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีกแล้ว…
ลักษณะคงบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่น้อย
กะโหลกศีรษะน่าจะแตก
พลัน สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไป
ก่อเหตุสังหารเพื่อนร่วมสถาบันอย่างนั้นหรือ?
ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าทำร้ายศิษย์ร่วมสถาบันถึงแก่ชีวิต เจ้า…” กวนเฟยตู้คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “เจ้าช่างอำมหิตนัก”
“เจ้าเป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่า” แววตาของหลินเป่ยเฉินที่จ้องมองกวนเฟยตู้คมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่ “เจ้าเปิดหมวกของเยว่หงเซียงทำไม?”
“ขะ…ขะ…ข้า…”
กวนเฟยตู้รู้สึกได้ถึงพลังกดดันหนักหน่วงที่แผ่เข้ามากระทบร่างกาย หลังจากนั้นก็บังเกิดความรู้สึกเย็นวาบคล้ายกับมีกระบี่มาพาดอยู่ที่ลำคอ ก่อให้เกิดความรู้สึกน่าหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“ขอโทษนางเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นทีละคำ
“ขะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ” กวนเฟยตู้กัดฟันกรอด