เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1930 ยาวิเศษ
ตอนที่ 1,930 ยาวิเศษ
อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีฝนตกต่อเนื่องมาหกสิบปีแล้ว สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนจึงไม่ต่างจากเมืองที่อยู่ใต้ดิน
“เป็นอย่างไรบ้าง? เขาตอบข้อความมาแล้วหรือยัง?”
ในคฤหาสน์หลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคนหน้าตางดงามถามผู้เป็นสามีด้วยความร้อนใจ
แววตาของนางบอกชัดถึงความคาดหวัง
สามีของนางเป็นชายร่างอ้วนที่มีสง่าราศี เขาสวมใส่ชุดสีม่วง ไว้หนวดเคราสั้น ๆ ให้ความรู้สึกเป็นคนที่เยือกเย็นและมีความหนักแน่นมั่นคง
เขามองอุปกรณ์สื่อสารในมือของตนเอง ก่อนส่ายหน้า ขณะพยายามซ่อนความเป็นกังวลในดวงตา และปลอบโยนผู้เป็นภรรยาว่า “เขายังไม่ตอบข้อความมาเลย บางทีอุปกรณ์ของเขาอาจจะมีปัญหา… เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง นี่เพิ่งผ่านมาเพียงไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ? บางทีอาจเกิดเหตุขัดข้องขึ้นก็เป็นได้… เด็กคนนั้นกล่าวว่าตราบใดที่เราให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก็จะส่งสินค้ามาให้เราขายเรื่อย ๆ”
ผู้เป็นภรรยาพยายามควบคุมความวิตกกังวลของตนเองและถอนหายใจออกมายาวแรง
นางวางมือที่นุ่มนิ่มลงบนหัวไหล่ของสามี “เหล่าเฉิน นี่อาจเป็นโอกาสเดียวของเราแล้ว ยาวิเศษของเขามันมหัศจรรย์จริง ๆ แม้แต่ประธานสภาค่ายประจิมก็ยังรักษาอาการบาดเจ็บได้หายขาดเพราะยาตัวนั้น… บัดนี้ เมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป ทุกฝ่ายต่างก็จับจ้องมองมาที่พวกเรา ทุกคนต่างก็อยากซื้อยาวิเศษจากตระกูลเฉิน นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้กลับมารุ่งเรืองกันอีกครั้ง”
“นั่นสิ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าการทดลองขายยาวิเศษเหล่านั้นจะได้ผลตอบรับดีเยี่ยมถึงเพียงนี้”
ชายวัยกลางคนถอนหายใจและโอบกอดภรรยา เดินตรงไปที่หน้าต่าง เฝ้ามองสายฝนที่โปรยปรายอยู่ด้านนอก “พูดถึงเจ้าเด็กคนนั้นก็ช่างน่าประหลาดเหลือเกิน ข้าไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของเขา ชื่อที่ปรากฏบนอุปกรณ์ของเราบอกว่าเขาใช้ชื่อว่า ‘บุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในโลก’ และก่อนหน้านี้ เขาก็ซื้อหาแต่สิ่งของที่ไม่มีประโยชน์เสียส่วนใหญ่ ที่อยู่ในการจัดส่งก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นั่นทำให้ข้าไม่ค่อยได้พูดคุยผูกมิตรกับเขาสักเท่าไหร่… ผู้ใดจะไปคิดเลยว่าเด็กคนนี้จะมียาวิเศษอยู่ในมือ”
พูดจบ ผู้เป็นสามีก็แสดงสีหน้าเศร้าหมอง แต่ในดวงตาปรากฏประกายแห่งความหวังที่จะได้เห็นอนาคตอันสดใสอีกครั้ง
เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปรองรับสายฝนที่นอกหน้าต่างและกล่าวด้วยความอัดอั้นตันใจว่า “ข้าทำให้ตระกูลเฉินตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บรรพบุรุษของข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แท้ ๆ ตระกูลเฉินของเราเคยปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์และมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร”
“บิดาของข้าก็เป็นนักรบผู้สังหารปีศาจนับไม่ถ้วนจนถึงแก่ความตาย แต่โชคร้ายเหลือเกิน… เมื่อถึงยุคสมัยของข้า ข้ากลับทำได้เพียงอาศัยยาวิเศษจากคนแปลกหน้าในการหาเลี้ยงชีพ และหวังว่านั่นจะช่วยทำให้ตระกูลของเรากลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เฮ้อ”
ชายวัยกลางคนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ภรรยาโอบกอดสามีและปลอบโยนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน เมื่อเกิดสงครามขึ้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่เคยสงบสุขบัดนี้เกิดการแตกแยก พวกมนุษย์ทะเลทรายเข้ามายึดครองอำนาจ… ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ท่านตัวคนเดียวจะไปต่อต้านพวกเขาได้อย่างไร? แค่เราอยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้ ก็นับว่าน่าดีใจแล้ว”
ความวุ่นวายโกลาหลที่บังเกิดขึ้นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นั้น ทำให้มีผู้คนถึงแก่ความตายในทุก ๆ วัน
เมื่อบรรดาคนใหญ่คนโตแย่งชิงอำนาจกันด้วยความหิวกระหาย ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ก็เป็นคนที่ต้องได้รับความเดือดร้อนโดยตรง และน่าเศร้าที่ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้เลย
เมื่อพูดคุยมาถึงตรงนี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เถ้าแก่เฉิน นายหญิง ผู้ส่งสารจากประธานสภาค่ายทักษินมาถึงแล้วขอรับ”
เสียงของผู้รับใช้ดังขึ้นหน้าประตู
ชายวัยกลางคนและภรรยาหันมองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
มีข่าวลือมานานแล้วว่าซงไป๋อวี่ ประธานสภาค่ายทักษิณได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการพยายามเลื่อนขั้นพลัง เขาตามหายาวิเศษทั่วอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่เคยมียาชนิดใดสามารถรักษาได้เลย
และดูเหมือนว่าเขาคงได้ทราบข่าวเรื่องที่ประธานสภาค่ายประจิมใช้ยาวิเศษที่ชื่อ ‘ว่านอ่ายเค่อ’ จนอาการบาดเจ็บหายดีเป็นปลิดทิ้ง ซงไป๋อวี่จึงอยากจะมาขอซื้อยาตัวนั้นไปลองรับประทานดูบ้างเช่นกัน
แต่ยาวิเศษที่เถ้าแก่เฉินมีอยู่ในมือหมดเกลี้ยงเสียแล้ว
เขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี?
…
เมื่อเดินออกมาจากแดนตำราสามโลก หลินเป่ยเฉินก็ได้พบกับเฉียวปี้อี๋ ปู้ชิวเหรินและคนอื่น ๆ ยืนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
“คุณชายเฉิน”
ปู้ชิวเหรินก้าวเดินออกมาข้างหน้าและประสานมือทำความเคารพ “สหายเฉียวบอกว่าคุณชายกำลังจะเดินทางออกจากอาณาจักรเล่ยฉื่อแล้วหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
การได้พบเจอกับนักพรตหญิงชินในอาณาจักรเล่ยฉื่อแห่งนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้วางแผนเอาไว้
และเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องมาข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจในสำนักศึกษาถึงเพียงนี้
แต่บัดนี้ นักพรตหญิงชินสามารถตั้งหลักในสำนักศึกษาฉิวจื่อได้อย่างมั่นคง มีอนาคตสดใส โดยมีอาจารย์ใหญ่กงซานอิ๋งเฉวี่ยนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด อีกไม่นาน นักพรตหญิงชินก็จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน... ดีไม่ดีอนาคตข้างหน้าหลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินอาจจะต้องเป็นฝ่ายกลับมากอดขานางเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ
ดูท่าทางนางอาจจะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตจอมเทพอนันต์ได้ก่อนเขาอีกกระมัง?
เพียงคิด หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
และเยว่หงเซียงก็ขออยู่ศึกษาตำราที่นี่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเช่นกัน
แต่นางมีเป้าหมายแตกต่างจากนักพรตหญิงชิน
เยว่หงเซียงจะอยู่ที่สำนักศึกษาฉิวจื่อเพื่ออ่านตำราเกี่ยวกับการสร้างค่ายอาคมระดับสูง
เปรียบเสมือนการเรียนฤดูร้อนระยะสั้น
และอาจารย์ของเยว่หงเซียงก็คือฟางซื่อหลี่
เมื่อการศึกษาระยะสั้นจบลง นางก็จะถูกส่งตัวไปศึกษากับผู้ใช้ค่ายอาคมระดับสูง ผ่านการใช้เส้นสายของสำนักศึกษาฉิวจื่อต่อไป
หลินเป่ยเฉินจึงต้องเดินทางกลับเพียงลำพัง
นับว่าหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาทุกคนต่างก็เป็นผู้มีความสามารถยิ่งนัก
และพวกนางยังมุ่งมั่นตั้งใจเรียนอีกด้วย
พวกนางถึงกับยอมทิ้งได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับการศึกษา
ข่าวเรื่องการออกเดินทางของหลินเป่ยเฉินได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักศึกษาฉิวจื่อ ในเวลานี้จึงได้มีผู้คนมายืนรอเขาเป็นจำนวนมาก
“คุณชายเฉิน พวกเราจัดงานเลี้ยงอำลาให้กับท่านแล้ว”
ปู้ชิวเหรินรวบรวมความกล้าหาญกล่าวออกมา “ทุกคนต่างก็เป็นคนกันเองทั้งสิ้น หากไม่รบกวนเวลาคุณชายมากเกินไป พวกเราก็อยากจะเชิญคุณชายไปร่วมงานเลี้ยงขอรับ”
ปู้ชิวเหรินรู้ดีว่าตนเองกำลังเชิญผู้สังหารราชาหินดำ เขาจึงอดประหม่าไม่ได้
“ฮ่า ๆๆ ประเสริฐ งานเลี้ยงคืนนี้ไม่เมาไม่เลิกรา”
หลินเป่ยเฉินเองก็อยากจะเมามายอยู่เช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียวปี้อี๋ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดก็ลืมตาขึ้นมายิ้มกว้างทันที
เพราะนางกลัวว่าหลินเป่ยเฉินจะปฏิเสธคำเชิญ
อีกไม่กี่อึดใจให้หลัง
พวกเขาก็มารวมตัวกันในห้องอาหารของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา