เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1937 ตัดสินใจไปช่วยเหลือ
ตอนที่ 1,937 ตัดสินใจไปช่วยเหลือ
ในไม่ช้า บนดาดฟ้าเรือก็เกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพอสูร
หลินเป่ยเฉินต้องยอมรับเลยว่าอสูรเหล่านี้มีจิตใจเด็ดเดี่ยว พวกมันไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย
แม้จะเห็นพรรคพวกของตนเองถูกระเบิดศีรษะทีละตัวสองตัว แต่สุดท้าย ก็ยังไม่มีผู้ใดร้องขอความเมตตาจากหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
นี่คือหน่วยรบของเผ่าพันธุ์อสูรใช่หรือไม่?
เมื่อเทียบสมาชิกกองโจรอสูรม่วงกับเผ่าอสุรกายเขียวที่หลินเป่ยเฉินเคยเจอในอาณาจักรซือเล่ย ก็เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งความกล้าหาญและฝีมือในการต่อสู้ สมาชิกกองโจรอสูรม่วงมีความน่ากลัวมากกว่ากันหลายเท่า
และศัตรูที่ไม่กลัวตายก็เป็นศัตรูที่รับมือได้ยากเสมอ
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินเคร่งเครียดและจริงจังมากขึ้น
“นายท่านขอรับ ข้าน้อยจะส่งคนไปสำรวจเรือเหาะของพวกมัน”
หวังเฟิงหลิวเดินเข้ามารายงาน “ไม่ทราบว่านายท่านอยากไปรับชมด้วยหรือไม่?”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินหยิบเนื้อย่างติดมือไปด้วยอีกสองสามไม้และพยักหน้าตอบว่า “ไปสิ ข้าขอไปดูด้วยคน”
หวังเฟิงหลิวหยุดชะงักและถามด้วยความลังเลใจ “นายท่านทานให้เสร็จก่อนดีไหมขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าหัวหน้ากลุ่มองครักษ์ส่วนตัวและถามว่า “เจ้าคงกลัวว่าข้าจะทนเห็นภาพอันน่าสยดสยองบนเรือเหาะอสูรไม่ได้สินะ? เจ้ากลัวข้าอาเจียนออกมาใช่หรือไม่? อย่าได้ห่วงไปเลย สิ่งที่น่าสยดสยองมากกว่านี้ข้าก็เคยเห็นมาแล้ว ในอดีต ตอนที่ข้า ศิษย์พี่ฮัน แม่นางเยว่และแม่นางไป๋ไปทำภารกิจที่หุบเขาชายแดนเหนือด้วยกัน ข้าเห็นพวกเขาตกลงไปในบ่ออุจจาระของสัตว์อสูร อุจจาระบางส่วนถึงกับเข้าไปอยู่ในปากของศิษย์พี่ฮันด้วยซ้ำ… เห็นขนาดนั้นข้ายังไม่เป็นอะไร แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะมาอาเจียนกับภาพเหล่านี้หรือ?”
หวังเฟิงหลิวถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
…
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ
“โอ๊กกกกกก...”
หลินเป่ยเฉินเพิ่งเดินสำรวจเรือเหาะอสูรได้แค่ครึ่งลำเท่านั้น เขาก็ต้องก้มตัวอาเจียนออกมาจนแทบหมดไส้หมดพุง
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองเคยเห็นภาพความสยดสยองมาทุกรูปแบบแล้ว
แต่เขายังไม่เคยเห็นมนุษย์กินคนมาก่อน
เมื่อนึกถึงบรรดาอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ลอยอยู่ในหม้อต้มของพวกอสูร หลินเป่ยเฉินก็ต้องอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งรับประทานเข้าไปออกมาทั้งหมด
“อสูรที่พวกเราคุมตัวไว้ ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้เหลือ”
หลินเป่ยเฉินอาเจียนไปด้วยพร้อมกับออกคำสั่งไปด้วย
อสูรเหล่านี้ช่างมีจิตใจอำมหิตเกินไปแล้ว
พวกมันแทบไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้สติปัญญา
มีแต่ความป่าเถื่อนและสัญชาตญาณดิบ
อาศัยการฝึกวิชาและขอบเขตของอสูรเหล่านี้ พวกมันไม่จำเป็นต้องฆ่ามนุษย์เพื่อกินเป็นอาหารอีกแล้ว
แต่พวกมันก็ยังกินมนุษย์เป็นอาหารอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเชื่อมาตลอดว่าแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์อสูร แต่เมื่อผ่านการวิวัฒนาการถึงจุดหนึ่ง พวกมันก็จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาและมีอารยธรรม มีกฎระเบียบของสังคมคอยควบคุมพฤติกรรม แม้รูปแบบในการดำรงชีวิตจะแตกต่างไปจากมนุษย์ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ที่มีความเจริญทางสติปัญญาบ้าง
ทว่า ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะเข้าใจผิดไปถนัด
กองโจรอสูรม่วงไล่ล่าฆ่าฟันมนุษย์นำมากินเป็นอาหารราวกับเห็นว่ามนุษย์เป็นสุกรก็ไม่ปาน
มนุษย์ฆ่าสุกร เพราะสุกรไม่มีสติปัญญาและดำรงชีวิตตามสัญชาตญาณเท่านั้น
บางทีในสายตาของพวกอสูร เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงเป็นได้เพียงอาหารของพวกมันเท่านั้นจริง ๆ
นี่หมายความว่าตราบใดที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังดำรงอยู่ พวกเขาก็คงอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อสูรอย่างสงบสุขไม่ได้
เพราะไม่เคยมีผู้ใดเห็นสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่ร่วมกับอาหารของตนเองได้อย่างสงบสุขใช่หรือไม่?
นี่จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จึงพยายามขยายฐานอำนาจและสร้างอารยธรรมของมนุษย์เพื่อกดทับความอำมหิตของเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่าพันธุ์ปีศาจ
เพราะพวกเขาอยู่ร่วมกันไม่ได้จริง ๆ
ไม่นานหลังจากนั้น เชลยศึกจากกองโจรอสูรม่วงก็ถูกฆ่าตายหมดสิ้น ศพของพวกมันถูกปล่อยทิ้งให้ลอยอยู่ในอากาศและเพียงไม่นานก็ระเบิดกระจายเป็นฝุ่นผง
แต่การสังหารไม่ได้ทำให้จิตใจของหลินเป่ยเฉินสงบลง
และด้วยการสำรวจเรือเหาะอสูรทุกลำซึ่งใช้รหัสว่ากองเรือหมายเลข 98765 หลินเป่ยเฉินจึงได้ค้นพบข้อมูลที่ยืนยันว่าพวกมันมาทำภารกิจปิดกั้นเส้นทางการขนส่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน กองโจรอสูรม่วงกลุ่มนี้ก็จมเรือเหาะไปแล้วถึง 371 ลำ มีมนุษย์ต้องถูกพวกมันฆ่าตายไปนับหมื่นคนระหว่างการปล้นสะดมที่เกิดขึ้น
หลินเป่ยเฉินเดินกลับมานั่งที่หน้าเตาย่างเนื้อ แต่ไม่รู้สึกอยากจะกินอีกแล้ว
“นายท่านขอรับ ดูจากเอกสารที่เราค้นพบบนเรือเหาะของพวกมัน มีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่ายังคงมีเรือเหาะอีก 99 ลำกระจายตัวไปทั่วเส้นทางดาราจักร พวกมันจะทำลายเรือเหาะของมนุษย์ทุกลำที่พบเจอ และภารกิจหลักของพวกมันก็คือการปิดกั้นเส้นทางขนส่งของอาณาจักรเทียนอวี่ เพื่อตัดเสบียงทางทหารของกองทัพเป่ยเฉินขอรับ”
หวังเฟิงหลิวเดินเข้ามารายงาน
“สถานการณ์ของกองทัพเป่ยเฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
หวังเฟิงหลิวตอบว่า “จากข้อมูลที่ข้าน้อยได้รับทราบมา ขณะนี้ กองทัพเป่ยหลินกำลังต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่ามนุษย์ทะเลทรายอยู่ที่เส้นทางจิวหลิว ซึ่งเป็นสมรภูมิที่สำคัญมาก บัดนี้ เส้นทางนั้นตกอยู่ในการควบคุมของเผ่าพันธุ์อสูร แต่ถ้ากองทัพเป่ยเฉินสามารถบุกทะลวงได้สำเร็จ พวกเขาก็จะสามารถใช้เส้นทางจิวหลิวเป็นเส้นทางขนส่งเสบียงระหว่างอาณาจักรเล่ยฉื่อกับอาณาจักรเทียนอวี่ได้อย่างไม่มีปัญหาขอรับ”
เข้าใจแล้ว
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
ที่แท้ศิษย์พี่ฮันก็กำลังมีปัญหาอยู่นี่เอง
ช่วยเหลือ!
ต้องช่วยเหลือ!!
“กองโจรกระบี่อวตารของพวกเจ้ารับทราบเรื่องราวนี้แล้วหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเคาะที่คีบเนื้อในมือเล่นพร้อมกับถามว่า “หากข้าต้องการยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกองทัพเป่ยเฉิน พวกเราสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง?”
ในเมื่อตัดสินใจที่จะช่วยเหลือแล้ว หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าเขาควรรับฟังความเห็นจากมืออาชีพดีกว่า
หวังเฟิงหลิวรีบส่ายศีรษะและอธิบายว่า “นายท่าน กองโจรกระบี่อวตารของเราไม่ใช่กองทัพทางทหาร ในช่วงสงครามอย่างนี้ พวกเราไม่เคยเลือกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเป่ยเฉิน กองทัพอสูรหรือกองทัพมนุษย์ทะเลทราย เมื่อพวกเราไม่ยุ่งกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยุ่งกับพวกเรา คงเป็นเรื่องยากที่กองโจรกระบี่อวตารจะยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้ขอรับ”
ความผิดหวังปรากฏขึ้นในแววตาของหลินเป่ยเฉินทันที
“แต่พวกเราก็ค้นพบว่ามีการสู้รบเกิดขึ้นที่อาณาจักรเหนียนเซียงเช่นเดียวกัน กองทัพเป่ยเฉินพยายามบุกโจมตีที่นั่นมาหลายเดือนแล้ว แต่พวกเขาก็ยังโจมตีไม่สำเร็จ และสถานการณ์ของพวกเขาก็ย่ำแย่ลงเต็มที…” หวังเฟิงหลิวกล่าวเสริม “หากนายท่านคิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ข้าน้อยคิดว่าเราก็ควรช่วยพวกเขาบุกโจมตีอาณาจักรเหนียนเซียงแห่งนี้ขอรับ แม้จะเป็นเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่ก็ถือเป็นสมรภูมิที่สำคัญไม่น้อย”
“จริงหรือ?”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินในเวลานี้เป็นประกายระยิบระยับ
อาณาจักรเหนียนเซียง?
ชื่อฟังดูน่าสนใจดีนี่นา
“ตกลง บอกให้พวกเรามุ่งหน้าไปที่นั่นทันที”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น เรือเหาะเซียนกระบี่อมตะก็พุ่งเป็นลำแสงสีเงินมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเหนียนเซียงด้วยความเร็วเต็มอัตรา