เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1944 ร่างแยกที่ทรงพลัง
ตอนที่ 1,944 ร่างแยกที่ทรงพลัง
สวีหลิงซูไม่ทันได้ตั้งตัวทำสิ่งใด เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง บาทาพิฆาตก็เหยียบลงมาเต็มใบหน้า
พลั่ก!
ได้ยินเสียงกระดูกแตกหัก
และภายใต้การเฝ้ามองของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน สวีหลิงซูก็ถูกฝ่าเท้าของอวี้เหวินซิวเอ๋อกระทืบเข้าใส่ใบหน้าแล้วจริง ๆ
“เจ้านี่มันมีตาหามีแววไม่”
อวี้เหวินซิวเอ๋อรัวกำปั้นใส่ร่างกายของสวีหลิงซูพร้อมกับระเบิดเสียงคำรามด้วยความดุร้าย “ฝีมือช่างต่ำต้อย ถึงกับกล้ามาก่อกวนพี่ชายสุดที่รักของข้า นับว่ารนหาที่ตายโดยแท้จริง”
บัดนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ด้านบนและอยู่ด้านนอกเรือเหาะเซียนกระบี่อมตะต่างก็ตกตะลึงกันทั้งหมด
ไม่ใช่แล้ว!
นี่ไม่สมควรเป็นการต่อสู้ของผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์
อย่างน้อย สวีหลิงซูก็ต้องระเบิดพลังตอบโต้กลับมาบ้าง
แต่นี่เป็นการโจมตีเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
นี่เป็นการต่อสู้ที่บ่งบอกผู้ชนะตั้งแต่แรกเริ่ม
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
เสียงกระดูกแตกหัก เสียงเลือดเนื้อสาดกระจายยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
เพียงพริบตาเดียว ศีรษะของสวีหลิงซูก็ระเบิดกระจาย
แต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์สามารถงอกศีรษะกลับขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ทว่า ศีรษะที่งอกขึ้นกลับมาใหม่ก็ถูกระเบิดกระจายไปอีกครั้ง
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้
“ย้ากกกก...”
สวีหลิงซูระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น แต่ศีรษะก็ถูกระเบิดกระจายไปครั้งแล้วครั้งเล่า
กำปั้นหนักหน่วงที่โจมตีตนเองอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ชายวัยกลางคนเข้าใจได้อย่างหนึ่งว่า…
อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งมากกว่าตนเอง
จอมเทพอนันต์ตอนกลาง!
อีกฝ่ายต้องมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ตอนกลางอย่างแน่นอน!!!
เพราะมีแต่ขั้นจอมเทพอนันต์ตอนกลางเท่านั้นถึงจะสามารถจัดการเขาได้อย่างอยู่หมัดเช่นนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโกรธแค้นก็สลายหายไป
ตามมาด้วยความหวาดกลัวไร้จุดสิ้นสุด
สวีหลิงซูทราบดีว่านี่คือความหวาดกลัวไม่ต่างจากที่ผู้อื่นหวาดกลัวตนเองก่อนหน้านี้
“เห็นไหม? ข้าบอกแล้วว่าน้องชายของข้าสามารถสังหารจอมเทพอนันต์ได้ราวกับฆ่าหมูตัวหนึ่ง”
อวี้เหวินซิวเซียนก้าวเดินออกมาข้างหน้าอีกครั้งและปลุกทุกคนตื่นจากภวังค์
เขายิ้มก่อนหันไปมองหน้าฮันซางเซียง “เห็นหรือไม่ แม่นางคนสวย ข้าไม่ได้โกหกเจ้า จริงไหม?”
ดวงตาที่งดงามของฮันซางเซียงไม่สามารถซ่อนเร้นความตกตะลึงได้เลยแม้แต่น้อย นางจ้องมองอวี้เหวินซิวเซียนพร้อมกับถามว่า “ท่านเป็นผู้ใด… ท่านมาจากไหนกันแน่?”
“อ้อ ข้าเป็นเพียงผู้ผ่านทางมาเท่านั้น”
อวี้เหวินซิวเซียนยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวต่อ “ข้ากับน้องชายมักจะออกร่อนเร่พเนจรช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อนอยู่เสมอ”
นี่คือความจริงใช่หรือไม่?
ฮันซางเซียงรู้สึกสงสัยอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่นางก็มองออกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนของกองทัพเป่ยเฉินและเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือนางจริง ๆ
นับเป็นคนที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
หากสามารถชักชวนให้อวี้เหวินซิวเซียนมาเข้าร่วมเป็นพรรคพวกเดียวกันได้ รับรองว่าสถานการณ์โดยรวมของกองทัพเป่ยเฉินจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
“น้องปิง อากวง อสูรส่วนที่เหลือต้องฝากให้พวกเจ้าจัดการแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับไปออกคำสั่ง “ใช้เวลาให้เร็วที่สุด อย่าให้พวกมันหนีรอดแม้แต่ตัวเดียว”
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็แชร์สัญญาณไวไฟให้กับเซียวปิงและอากวง
สองเพื่อนรักต่างสายพันธุ์สัมผัสได้ถึงกระแสร้อนอุ่นที่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
มาแล้ว!
ความรู้สึกนี้… กลับมาอีกครั้ง!!
“จี๊ด”
“วางใจได้เลยขอรับท่านพี่ ข้าจะไม่ทำให้ท่านเสียเวลาแน่นอน”
หนึ่งมนุษย์หนึ่งหนูอสูรร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น ก่อนที่ร่างกายจะพุ่งเป็นลำแสงตรงไปยังเรือเหาะที่เป็นกำลังเสริมของกลุ่มอสูร
“ฆ่า!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
กลุ่มอสูรที่อยู่บนเรือเหาะก็ระเบิดเสียงคำรามด้วยความดุร้ายเช่นกัน
พวกมันพุ่งเข้ามาหาเรือเหาะเซียนกระบี่อมตะอย่างยอมพลีชีพ
“ตายซะเถอะ!”
ฮันซางเซียงโบกสะบัดฝ่ามือ
บัดนี้ โอกาสที่พวกนางจะเก็บชัยชนะมีสูงมาก ขวัญกำลังใจของผู้คนจึงกลับคืนมาอีกครั้ง
เสียงแห่งการฆ่าฟันดังกึกก้องไปทั่วแผ่นฟ้า
พลังปราณหลากหลายสีสัน เปลวไฟปะทุวูบวาบ คมกระบี่สาดประกาย ศาสตราวุธระเบิดพลัง บรรยากาศตกอยู่ในความบ้าคลั่งอย่างรวดเร็ว…
คลื่นพลังแผ่ปกคลุมรอบบริเวณ
ทันใดนั้น…
“ทุกคนถอยไป… ปล่อยให้น้องชายของข้าจัดการเอง”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำราม
แล้วทุกคนก็ได้เห็นว่าอวี้เหวินซิวเอ๋อยังคงโจมตีสวีหลิงซูด้วยมือเพียงข้างเดียว และใช้มืออีกข้างที่เหลืออยู่ของเขานั้นระเบิดพลังออกมาทำลายล้างกลุ่มกองกำลังอสูรโลหิตที่พยายามบุกมาโจมตีเรือเหาะเซียนกระบี่อมตะ
พลังทำลายล้างของอวี้เหวินซิวเอ๋อกินพื้นที่กว้างไกลเกินคาดคิด
ไม่ว่าคลื่นพลังนั้นแผ่ไปถึงที่ใด ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้น… ทั้งเรือเหาะอสูร ป้อมปราการลอยฟ้า ฐานบัญชาการ หรือที่ตั้งกำลังพลของพวกมันก็จะถูกระเบิดกระจายกลายเป็นฝุ่นผงไปตลอดกาล
แล้วคลื่นพลังที่น่าตื่นตระหนกนั้นก็จางหายไปในอากาศเสมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
การระเบิดพลังของอวี้เหวินซิวเอ๋อสามารถยุติการสู้รบที่เกิดขึ้นได้ในทันที
กองกำลังของอสูรโลหิตถูกกวาดล้างไปในการระเบิดพลังครั้งนี้เป็นจำนวนมาก
นอกจากช่วยประหยัดเวลาแล้ว ยังช่วยผ่อนแรงของกองทัพเป่ยเฉินอีกด้วย
ในที่สุด อวี้เหวินซิวเอ๋อก็ลากตัวสวีหลิงซูที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสมาหาอวี้เหวินซิวเซียน
หลินเป่ยเฉินรู้สึกคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
การควบคุมร่างของราชาหินดำนั้นง่ายดายยิ่งนัก
แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ก็ยังต้องพ่ายแพ้
“ฮ่า ๆๆ เป็นอย่างไรบ้าง แม่นางคนสวย? ทีนี้เจ้าก็ได้รู้แล้วสินะว่าข้ามีความแข็งแกร่งเพียงใด”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาหาฮันซางเซียง “ไม่ทราบว่าเจ้าจะตอบแทนบุญคุณข้าอย่างไรบ้าง?”
บอกตามตรง ฮันซางเซียงไม่เคยพบเคยเจอคนประเภทนี้มาก่อน
มีความแข็งแกร่ง!
มีใบหน้าที่หล่อเหลา!!
มีสง่าราศีของความเป็นผู้กล้า!!!
แต่กลับมีนิสัยใจคอไม่ต่างจากคนเสเพลข้างถนนที่มักจะเกี่ยวพาราสีสาวงามทุกคนที่พบเจอ!!!!
นางจะตอบว่าอย่างไรดี?
ฮันซางเซียงไม่ทราบว่าตนเองสมควรตอบอย่างไรอีกแล้ว
นางไม่เคยพบเจอผู้ใดมีความซับซ้อนมากขนาดนี้มาก่อน
แม้คำพูดของเขาจะไม่น่ารับฟัง แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ยามที่เขายืนยิ้มอยู่ตรงหน้าและกล่าววาจาน่าตลกขบขันเหล่านั้นออกมา ฮันซางเซียงกลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ทราบว่าคุณชายอยากให้ข้าตอบแทนอย่างไร?”
ฮันซางเซียงตัดสินใจถามกลับไป
“อืม… งั้นขอข้าใช้ความคิดก่อนสักเล็กน้อย”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวว่า “ยอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ข้าในชาติภพหน้า หรือจะใช้เรือนร่างของเจ้าตอบแทนข้าในชาติภพนี้ เจ้าจะเลือกอย่างไร?”
ฮันซางเซียงหยุดชะงัก เบิกตาโต ไม่เข้าใจเลยว่าเขาหมายถึงสิ่งใด
บัดนั้น สรรพเสียงรอบกายก็เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
กำลังเสริมจากกองทัพอสูรโลหิตสองในสามส่วนต้องตายด้วยการระเบิดพลังของร่างแยกราชาหินดำ และผู้บัญชาการทั้งสองตัวของพวกมันก็ถูกเซียวปิงกับอากวงฆ่าตายหมดสิ้น ในที่สุด บรรดาอสูรที่เหลืออยู่ก็ต้องรีบหลบหนีเอาชีวิตรอดไปคนละทิศละทาง
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงเหล่านั้น เขาก็หันหน้าไปมองกลุ่มอสูรที่พยายามหลบหนี ดวงตาเผยประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหารขึ้นมาทันที