เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1947 สามเศียรหกกร
ตอนที่ 1,947 สามเศียรหกกร
วิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณระดับสี่จะทำให้อวัยวะภายในแข็งแกร่งมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินเข้าใจดีว่าอวัยวะภายในจุดสำคัญนั้นมีอยู่ด้วยกันห้าตำแหน่ง
ซึ่งอวัยวะเหล่านั้นก็ประกอบไปด้วยหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต
ในอดีต อวัยวะภายในเหล่านั้นได้รับความแข็งแกร่งจากการที่หลินเป่ยเฉินมีพลังปราณธาตุห้าชนิด
และวันนี้ อวัยวะภายในเหล่านั้นก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับ
อวัยวะภายในของเขาจะบรรจุด้วยพลังปราณที่ไม่มีวันเสื่อมสลายตามกาลเวลา
นั่นหมายความว่าหลินเป่ยเฉินจะมีชีวิตเป็นอมตะ หากไม่ถูกผู้อื่นฆ่าตายเสียก่อน
“ถึงเราจะยังไม่ได้อยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์ แต่จากความแข็งแกร่งของร่างกายเราก็อยู่ในระดับนั้นแล้ว แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าเราตายได้อีก... นี่เราเกือบจะเป็นอมตะแล้วนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจให้กับความแข็งแกร่งของตนเอง
ในโลกที่อำมหิต เย็นชาและอันตรายแห่งนี้ ในที่สุด เขาก็รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยเสียที
หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังปราณ
“นี่มันอะไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าตกตะลึงและไม่คาดฝัน
นี่มันพลังที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์!
พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นอยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์
หลินเป่ยเฉินเคยเผชิญหน้ากับราชาหินดำและเพิ่งจะต่อสู้กับสวีหลิงซู ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับพลังปราณที่อยู่ในระดับจอมเทพอนันต์เป็นอย่างดี
นี่เขาสามารถเลื่อนขอบเขตพลังได้แล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักและรีบปฏิเสธความคิดนั้นโดยทันที
เขารีบสำรวจพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเพิ่มมากขึ้น นี่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาสามารถเลื่อนขอบเขตพลังได้แล้วจริง ๆ
แต่หากจะยืนยันให้ได้อย่างแท้จริง หลินเป่ยเฉินก็จำเป็นต้องต่อสู้กับใครสักคน เพื่อให้แน่ใจถึงความแข็งแกร่งของตนเอง
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่สงสัยเลยว่าหากตนเองได้เผชิญหน้ากับจอมเทพอนันต์ในขณะนี้ เขาก็จะสามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะมีอาวุธวิเศษระดับสูงอยู่ในมือ
ไม่ทราบเลยว่ามีผู้ที่บรรลุขอบเขตจอมเทพอนันต์อยู่กี่คน?
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เปิดประตูมิติเดินทางกลับไปที่แผ่นดินตงเต้า และเขาก็ไปยังพื้นที่ซึ่งเคยเป็นจักรวรรดิจี้กวง ที่นั่นมีทะเลทรายน้ำแข็งยาวไกลหลายพันลี้ และเมื่อหลินเป่ยเฉินระเบิดคลื่นพลังออกจากร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้แสงสีเงิน
“ขยายร่าง!”
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกและระเบิดพลังออกไปอีกครั้ง
ในหูของเขาได้ยินเพียงเสียงของเลือดลมที่กำลังร้อนระอุ
ทันใดนั้น ร่างกายของเด็กหนุ่มก็ขยายใหญ่
เพียงพริบตาเดียว เขาก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงเสียดฟ้าเท่ากับตึกหลายร้อยชั้น
“ทุกครั้งที่เราเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จ เราก็จะสามารถขยายร่างได้ใหญ่มากขึ้น เมื่อบรรลุขั้นจอมเทพอนันต์ตอนต้น เรายังมีขนาดตัวเท่ากับตึกหลายร้อยชั้นขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นจอมเทพอนันต์ตอนกลางหรือตอนปลาย เราจะตัวใหญ่ขนาดไหนกันนะ?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากวาดสายตามองรอบตัว
เมฆขาวลอยละล่องอยู่กลางอากาศ
ด้านล่างคือพื้นดินอันกว้างใหญ่
นี่คือมุมมองเหมือนตอนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างบนเครื่องบินไม่มีผิด
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
หลินเป่ยเฉินระเบิดพลังออกมาจากร่างกายอีกครั้ง
ทันใดนั้น แสงสีเงินก็ปกคลุมตลอดทั้งร่างยักษ์ของหลินเป่ยเฉิน แล้วเขาก็รู้สึกคันบริเวณหัวไหล่ หูได้ยินเสียงอะไรบางอย่างทะลุทะลวงออกมาจากแผ่นหลัง และในพริบตาต่อมา แขนสี่ข้างก็งอกออกมาจากช่วงหลังไหล่ของเขา และด้านข้างลำคอก็มีศีรษะงอกเพิ่มขึ้นมาอีกสองหัว เส้นผมสีดำของศีรษะเหล่านั้นปลิวไสว ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ บรรยากาศรอบกายปั่นป่วนราวกับเกิดพายุหมุน…
สามเศียรหกกร!
สามหัวหกแขน!
นี่คือการฝึกวิชาตามคัมภีร์ที่เขาได้รับมาจากหลี่อี้สวิ่นระหว่างทำภารกิจลอบสังหารผู้ส่งสารของสำนักม่วงมหากาฬ
แต่หลินเป่ยเฉินไม่เคยมีโอกาสใช้งานมาก่อน
วันนี้เขามีโอกาสได้ใช้งานแล้ว
และสามารถใช้งานได้ดีทีเดียว!
ศีรษะทั้งสามนั้นทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถมองได้รอบกายสามร้อยหกสิบองศา ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจะสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นรอบกายได้ตลอดเวลา
โดยเฉพาะศีรษะที่งอกขึ้นมาใหม่ทั้งสองศีรษะนั้น ดวงตาของพวกมันหัวหนึ่งถึงกับสามารถเปล่งแสงสว่างมองเห็นในความมืด หรือแม้แต่สิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น ดวงตาของมันก็สามารถตรวจจับได้เช่นกัน
และแขนทั้งหกข้าง หลินเป่ยเฉินก็สามารถควบคุมได้ตามใจปรารถนา
เขาลองกระแทกฝ่ามือออกไปข้างหน้า
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น คลื่นพลังมหาศาลก็พุ่งไปยังภูเขาสูงที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายลี้
ในความเงียบ ภูเขาลูกนั้นสลายหายไปเป็นผุยผงในอากาศ
ไม่มีเสียงของการระเบิด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงพลังที่ไม่ธรรมดาจึงลองกระแทกฝ่ามือออกไปข้างหน้าอีกครั้ง
ฟึ่บ!
ภูเขาใหญ่อีกลูกหนึ่งต้องสลายหายไปกับตาด้วยคลื่นพลังที่ปลดปล่อยออกไปจากฝ่ามือของเขา
นี่เป็นการปลดปล่อยพลังในขั้นธรรมดาเท่านั้น แต่กลับสามารถถล่มภูเขาใหญ่ได้ถึงสองลูก
“นับเป็นพลังเวทมนตร์ที่ประเสริฐนัก”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความสนุกสนาน
หลังจากนั้น เขาก็ฝึกการป้องกัน การโจมตีและการหลบหนี
หลินเป่ยเฉินถึงกับสามารถทำทั้งสามอย่างนั้นได้ในเวลาเดียวกัน
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าหากตนเองเผชิญหน้ากับสวีหลิงซูอีกครั้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาร่างแยกของราชาหินดำอีกต่อไป หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองต้องเอาชนะสวีหลิงซูได้อย่างแน่นอน
“ตำนานเล่าขานว่าจอมเทพอนันต์สามารถทำลายดวงดาวได้ในหมัดเดียว”
“ตอนนี้เรามีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์แล้ว ถ้าเราลองทุ่มเทสุดพลัง ก็น่าจะสามารถระเบิดดาวเคราะห์เล็ก ๆ ได้เหมือนกันสินะ”
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิด
ก่อนที่เขาจะสูดหายใจลึก พลังปราณในร่างกายเดือดพล่าน ก่อนที่ร่างกายจะย่อขนาดลงมากลับสู่ขนาดปกติอีกครั้ง
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตนเองได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่างออกไป
เขารีบสำรวจดูพลังปราณในร่างกายตนเอง
พลังปราณที่เพิ่มขึ้นในร่างกายมีจำนวนไม่น้อยและมันก็อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์จริง ๆ
“ถึงเราจะมีโลหิตพิสุทธิ์ระดับจอมเทพอนันต์อยู่ในมือ แต่ก็คงไม่ต้องรีบร้อนนำออกมาหลอมรวมพลังอีกแล้ว เพราะพลังปราณในร่างกายของเรายังเพิ่มไม่หยุด จึงจำเป็นต้องหลอมรวมพลังอย่างค่อยเป็นค่อยไป…อีกอย่าง โลหิตพิสุทธิ์ระดับจอมเทพอนันต์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหากันได้ง่าย ๆ เราเก็บเอาไว้ใช้ตอนจำเป็นจริง ๆ ดีกว่า”
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินลองตรวจสอบร่างกายของตนเองโดยละเอียด ความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ปรากฏว่าเขายังไม่บรรลุขั้นจอมเทพอนันต์
อย่างมากที่สุด ร่างกายของเขาก็มีพลังเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์
แต่มวลพลังที่แท้จริงของเขายังอยู่ในขอบเขตจอมเทพจักราเท่านั้น มีเฉพาะแค่บางช่วงที่มวลพลังจะพุ่งทะยานขึ้นไปเทียบเท่ากับจอมเทพอนันต์ ซึ่งมันจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งสามารถข่มขู่ให้ผู้คนตกใจกลัวได้ แต่ไม่สามารถต่อสู้ได้ในระยะยาว
ทว่า การต่อสู้ส่วนใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังทำลายล้างระดับจอมเทพอนันต์อยู่แล้วนี่นา จริงไหม?