เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1949 ท่านกล้าหรือไม่?
ตอนที่ 1,949 ท่านกล้าหรือไม่?
“ระยะหลังเฉียนเจินอ่อนเพลียมากจนผิดปกติเลยเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยรายงาน จากนั้นก็เดินกลับไปหยิบค้อนคู่ใจของตนเองขึ้นมาและกล่าวว่า “หลังจากฝึกฝนตามตารางในวันนี้เสร็จ นางก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน… เอ๊ะ พวกเจ้ามองอะไรกันไม่ทราบ ยังไม่รีบฝึกฝนต่อไปอีก? หากฝึกฝนไม่ครบตามกำหนด ข้าจะใช้ค้อนฟาดพวกเจ้าให้บี้แบนเดี๋ยวนี้”
ครึ่งประโยคหลังของนางทำให้บรรดานายทหารที่หยุดชะงักเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นต้องรีบกลับไปฝึกฝนต่ออีกครั้ง
เฉียนเหมยมีนายทหารอยู่ในการบังคับบัญชาห้าร้อยนายถ้วน
ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น
นายทหารกลุ่มนี้เป็นนางคัดเลือกมาจากกองทัพเซียนกระบี่ด้วยตนเอง แต่ละคนคือนายทหารที่มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้
บัดนี้ เฉียนเหมยถึงกับมีขุมกำลังเป็นของตนเองภายใต้ชื่อว่าหน่วยรบค้อนโลหิต
และเฉียนเหมยก็มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสู้รบมากขึ้น นางจึงกลายเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ได้รับความเคารพสูงสุด
จึงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธคำสั่งของนางอีกแล้ว…
ท่านแม่ทัพหญิงผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้ายกระหายเลือด
นายทหารทั้งห้าร้อยคนเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ ต่อจากเดิม
แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจเลยว่าตนเองจะต้องทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร แต่เกิดข่าวลือในกองทัพว่าท่านแม่ทัพใหญ่หลินเป่ยเฉินมีวิชาการฝึกฝนปริศนาที่สามารถช่วยให้ผู้คนเลื่อนขั้นพลังได้สิบขั้นรวด… และนี่ก็อาจเป็นหนึ่งในวิธีการฝึกวิชาเหล่านั้นก็เป็นได้
ดังนั้น หน่วยรบค้อนโลหิตจึงฝึกฝนด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
“นี่เจ้ามีกองทัพเป็นของตนเองแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
เฉียนเหมยเชิดหน้าอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจขณะตอบว่า “แน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่เพียงแต่ข้าเท่านั้น แต่ท่านพี่หวังซินอวี่ ท่านพี่มี่หรู่หยาน ท่านพี่เยว่เว่ยหยาง ท่านพี่คังซานเสว่ และท่านพี่เหยียนอิง… ทุกคนต่างก็มีกองทัพเป็นของตนเองหมดสิ้น แต่กองทัพของพวกเราจะได้รับการควบคุมดูแลโดยท่านแม่ทัพโจวอีกทีหนึ่ง”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความพิศวง “นี่พวกนางกลายเป็นท่านพี่ของเจ้าไปแล้วหรือ?”
“ก็เป็นความผิดของนายท่านนั่นแหละ”
เฉียนเหมยพึมพำ “ก็ใครใช้ให้นายท่านมีคนรักมากมายถึงเพียงนี้เล่า?”
เอ่อ คือว่า…
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดหน้าผากสาวรับใช้ไปหนึ่งทีและออกคำสั่งว่า “เจ้ากลับไปฝึกฝนต่อได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินตรงไปยังทิศทางของคฤหาสน์
ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับอานมู่ซีที่วิ่งเท้าเปล่าเข้ามาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ผมสีดำยาวปลิวไสว ร้องตะโกนด้วยความดีอกดีใจว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว ฮ่า ๆๆ ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว…”
อานมู่ซีวิ่งผ่านหลินเป่ยเฉินไปหน้าตาเฉย แม้จะหันมามองหน้าเขา แต่นักปรุงยาหนุ่มก็ไม่ได้หยุดเท้า
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
เกิดอะไรขึ้น?
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเด็กสาวนักปรุงยานามว่าอาเฉียวพร้อมด้วยน้องชายของนาง เสี่ยวติงถือบ่วงเชือกในมือข้างหนึ่งและมืออีกข้างหนึ่งก็ถือขวดหยกวิ่งตามหลังอานมู่ซีไปอย่างกระชั้นชิด…
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือคว้าหางเปียของอาเฉียวและถามว่า “พวกเจ้าจะวิ่งไปไหนกัน?”
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ? เจ้า… อ๊ะ ที่แท้ก็เป็นคนเสเพลนี่เอง ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ตอนแรก อาเฉียวถูกดึงผมเปียระหว่างวิ่งจนเกือบจะหงายหลังล้มลง นางจึงหันหน้ามาด้วยความโกรธแค้นเดือดดาล แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ดึงผมเปียของนางนั้นคือหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของนางก็เป็นประกายสดใสขึ้นมาทันที รอยยิ้มดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่ทว่าวาจายังคงร้ายกาจเช่นเดิม
“เจ้าเรียกข้าว่าคนเสเพลอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หากเจ้าทำให้ชื่อเสียงของข้าแปดเปื้อน รับรองว่าได้เห็นดีกันแน่”
“เฮอะ เอาเลยสิ เอาเลย เอาเลย จัดการข้าเลยสิ”
อาเฉียวยืดหน้าอกขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ท่านกล้าหรือไม่?”
“เจ้านี้มันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดอีกนะเนี่ย”
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ในที่สุด เขารีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าอาน?”
“เฮอะ สุดท้ายก็ไม่กล้า”
อาเฉียวยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ แต่ก็ยังคงเชิดหน้าอกขึ้นท้าทายสายตาของหลินเป่ยเฉินขณะกล่าวต่อ “เขากับท่านปู่ของข้าเพิ่งคิดค้นโอสถที่ชื่อว่าโอสถรื่นเริงขึ้นมาได้สำเร็จ โอสถชนิดนี้เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ก็จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกด้านชา หายจากอาการเจ็บปวดและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อสักครู่นี้ เหล่าอานลองรับประทานเข้าไปและโอสถก็ออกฤทธิ์สำเร็จ”
“โอสถรื่นเริงอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอดทึ่งกับความก้าวหน้าในการฝึกฝนวิชาปรุงยาของอานมู่ซีขึ้นมาไม่ได้ “เมื่อรับประทานแล้ว ผู้คนจะเป็นอย่างไรบ้าง?”
อาเฉียวแทบจะหัวเราะออกมาทันที “เมื่อสักครู่ท่านไม่เห็นเขาหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ท่านพี่ รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า ข้าจับคนเดียวไม่ไหว”
เด็กชายเสี่ยวติงตะโกนร้องเรียก บัดนี้ เขากำลังปลุกปล้ำอานมู่ซีอยู่บนพื้นดิน หรือถ้าจะอธิบายให้ละเอียดก็คือ เด็กชายเสี่ยวติงกำลังพยายามใช้เชือกมัดอานมู่ซี แต่สุดท้าย กลายเป็นฝ่ายเด็กชายเสียเองที่โดนอานมู่ซีใช้เชือกมัดสองมือและถูกบีบคอด้วยความบ้าคลั่ง
อาเฉียวหันไปมองด้วยแววตาเฉยชา
เจ้าน้องโง่
จำไม่ได้หรือว่าคำแนะนำในสารานุกรมแห่งความรักคืออะไร?
พี่สาวของเจ้ากำลังหว่านเสน่ห์อยู่แท้ ๆ เจ้ากลับมาขัดจังหวะได้อย่างไร?
เจ้าสมควรหุบปากแล้วตายไปซะ!
“น้องชายเจ้ากำลังเรียกหาอยู่นะ”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงเตือน
“ครั้งนี้ท่านกลับมาทำอะไร?”
อาเฉียวถามด้วยความสนอกสนใจ
“ข้าอยากจะกลับมาตรวจสอบความเรียบร้อยสักหน่อยน่ะ”
หลินเป่ยเฉินตอบตามความจริง “แต่น้องชายของเจ้ากำลังจะถูกบีบคอตายแล้ว”
“ท่านกลับมาหาผู้คนใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่าท่านกลับมาหาผู้ใด?”
อาเฉียวยังคงถามอย่างไม่ยอมแพ้
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก แต่น้องชายของเจ้ากำลังจะตายจริง ๆ แล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินยังคงเตือนต่อไป
“เขามีพลังชีวิตแข็งแกร่งกว่าผู้คนทั่วไป ไม่ตายง่าย ๆ หรอก... เฮ้อ น่ารำคาญเสียจริง”
อาเฉียวพูดด้วยความหงุดหงิดก่อนจะหมุนตัววิ่งเข้าไปช่วยเหลือเสี่ยวติง
แต่หลังจากนั้น สองพี่น้องก็ถูกอานมู่ซีผู้บ้าคลั่งล็อกคออย่างหนาแน่น จนไม่สามารถกระดุกกระดิกร่างกายได้อีก
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
ในเมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ แล้วนางจะวิ่งเข้าไปทำไม?
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านหลัง
เมื่อเขาหันกลับไปมองก็พบเข้ากับเฉินปี้หยาง ปรมาจารย์นักปรุงยาระดับสูงในตำนาน
“คารวะคุณชายหลินขอรับ”
เมื่อเฉินปี้หยางเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน สีหน้าของชายชราก็ดูประหลาดพิกลเล็กน้อย