เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1950 การค้นพบโดยบังเอิญ
ตอนที่ 1,950 การค้นพบโดยบังเอิญ
ตอนแรก ชายชราตั้งใจจะทิ้งตำราไว้ให้อานมู่ซีศึกษาด้วยตนเอง และเขาก็จะพาหลานทั้งสองเดินทางออกจากอาณาจักรซือเว่ย เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในดาวเคราะห์ดวงอื่น
แต่เฉินปี้หยางคิดไม่ถึงเลยว่าอานมู่ซีจะมีพรสวรรค์ด้านการปรุงยาถึงเพียงนี้ รู้ตัวอีกที ชายชราก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อถ่ายทอดความรู้ทั้งชีวิตของตนเองให้แก่อานมู่ซีแล้ว
อานมู่ซีจึงถือเป็นลูกศิษย์โดยตรงของเขาอย่างเป็นทางการ
และบัดนี้ เฉินปี้หยางก็ดีใจที่ตนเองตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อไป
เพราะเขาได้รับทราบมาว่าในเส้นทางดาราจักรกำลังเกิดสงครามขึ้นทุกหนทุกแห่ง
ไม่ว่าดาวเคราะห์ดวงไหนก็มีแต่สงครามนองเลือดเต็มไปหมด
บัดนี้ เส้นทางดาราจักรที่เคยสงบเรียบร้อยภายใต้การดูแลของสภาศักดิ์สิทธิ์เกิดความวุ่นวายโกลาหล สภาศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย นี่ไม่ต่างจากการปะทุของภูเขาไฟที่ไม่ว่าผู้ใดก็ขัดขวางไม่ได้
เมื่อเทียบกับอาณาจักรซือเว่ยที่เงียบสงบและมีกองทัพเซียนกระบี่คอยดูแล ที่นี่ก็ถือว่าเป็นแดนสวรรค์ที่แท้จริง
แต่ที่สำคัญก็คือ อานมู่ซีมีพรสวรรค์ในการปรุงยาอย่างที่เฉินปี้หยางคิดไม่ถึง เปรียบเสมือนการค้นพบเพชรเม็ดงามในโคลนตม ชายชราถึงกับถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้แก่นักปรุงยาหนุ่มผู้นี้มากกว่าที่ถ่ายทอดให้แก่หลาน ๆ ทั้งสองคนเสียอีก
ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
อานมู่ซีก็สามารถช่วยชายชราคิดค้นสูตรโอสถใหม่ ๆ ได้แล้ว
ครั้งนี้ อานมู่ซีเป็นผู้คิดค้นโอสถรื่นเริงขึ้นมาด้วยตนเอง โดยที่มีเฉินปี้หยางคอยแนะนำอยู่ห่าง ๆ
แต่ดูเหมือนโอสถจะออกฤทธิ์มากเกินความจำเป็น…
โอสถออกฤทธิ์ได้ดีมากเกินไป
“อาจารย์เฉินไปช่วยหลาน ๆ ก่อนเถอะขอรับ มิฉะนั้น หลานชายหลานสาวของท่านคงต้องจบชีวิตแน่”
หลินเป่ยเฉินผายมือไปทางด้านหนึ่ง
เฉินปี้หยางยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “คุณชายอย่าห่วงเลยขอรับ ขอแค่ข้าเทยาในขวดนี้ใส่ปากอานมู่ซีเท่านั้น เขาก็จะหายคลุ้มคลั่งและฟื้นสติกลับคืนมาดังเดิม…”
หลังจากนั้น ชายชราก็เดินถือขวดหยกสีเขียวตรงเข้าไปหาอานมู่ซี
แต่ไม่กี่ลมหายใจให้หลัง…
“เจ้าลูกศิษย์ทรพี ไม่นะ… ช่วยข้าด้วย…”
เฉินปี้หยางถูกนักปรุงยาหนุ่มจับล็อกคอและยาที่อยู่ในขวดหยกนั้นก็ถูกกรอกใส่ปากของชายชราเอง
บัดนี้ ท่านปู่และหลานทั้งสองต่างก็ถูกอานมู่ซีทุบตีจนสลบเหมือดอยู่บนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
นี่โอสถรื่นเริงมีอานุภาพรุนแรงถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือ
และเขาก็ได้พบว่าพละกำลังของอานมู่ซีเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า ซึ่งเป็นผลมาจากการรับประทานโอสถรื่นเริงนั่นเอง
มิน่าล่ะ เฉินปี้หยางกับหลาน ๆ ถึงไม่สามารถสู้อานมู่ซีได้เลย เพราะว่าความแข็งแรงแตกต่างกันมากเกินไป
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็สามารถจับอานมู่ซีกรอกโอสถที่ยังเหลืออยู่ในขวดหยกสีเขียวได้สำเร็จ และหลังจากนั้น นักปรุงยาหนุ่มก็ล้มลงกับพื้นสลบไสลไปทันที
แต่หลินเป่ยเฉินคิดว่าอานมู่ซีแกล้งสลบมากกว่า
นั่นเป็นเพราะอานมู่ซีไม่อยากจะยอมรับว่าตนเองได้อาละวาดทำร้ายพวกของเฉินปี้หยางอย่างหนักหน่วงถึงเพียงนั้น
เมื่อคลี่คลายปัญหาได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ตรงไปยังที่พักของตนเอง
เพื่อรับการดูแลจากสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน
ด้านหน้าห้องพักของเขามีกลุ่มทหารหญิงเดินตรวจตราอยู่จำนวนหนึ่ง ทุกคนรีบประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินทันทีเมื่อเห็นเขา
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องพักของตนเอง
ภายในห้องพักเงียบสงบ
มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
แต่ไม่มีคนอยู่
หลินเป่ยเฉินเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกัน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป เด็กหนุ่มก็เห็นเฉียนเจินนอนห่มผ้าห่มหนังสัตว์หลับใหลอยู่บนเตียง แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเกิดเป็นเงาร่างที่สมบูรณ์แบบ ผมสีดำยาวสยายแผ่อยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาว เฉียนเจินกำลังนอนยิ้มหวานราวกับว่านางกำลังหลับฝันดี…
นี่คือภาพที่สวยงามและไร้พิษภัย
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองอยู่เช่นนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน
หลังจากนั้น เขาก็เดินเข้าไปเอนกายลงนอนข้างเฉียนเจินอย่างเงียบ ๆ
กลิ่นกุหลาบหอมกรุ่นลอยมาเตะจมูก
นี่คือกลิ่นกายที่คุ้นเคย หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาอย่างแท้จริง
และเขาก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
กาลเวลาคล้ายกับหยุดนิ่ง
ไม่ทราบเลยว่าผ่านไปนานเพียงใด
รู้สึกตัวอีกที หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกคันยุบยิบบริเวณแก้มของตนเอง
เมื่อลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าเฉียนเจินกำลังใช้ปอยผมของนางมาลูบไล้ข้างแก้มของเขาเป็นวงกลม
“อุ๊ย… นายท่านตื่นแล้ว นายท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินลืมตาขึ้นมา สาวรับใช้ก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนที่สองแก้มของนางจะกลายเป็นสีชมพูอย่างมีเสน่ห์และสวยงามราวกับแสงอาทิตย์ตกดิน
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปโอบกอดนางเข้าสู่อ้อมแขนและกล่าวว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาปลุกนายท่านที่กำลังพักผ่อน อย่างนี้ต้องลงโทษ”
เพียะ!
เขาตบบั้นท้ายเฉียนเจินแผ่วเบา
“ฮื่อ…”
เฉียนเจินส่งเสียงกระซิบ สองแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
แม้ว่านางจะเคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับหลินเป่ยเฉินมาแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้นายท่าน เฉียนเหมยก็ยังคงรู้สึกเขินอายอยู่ดี
เพราะนี่คือลักษณะนิสัยของนางเอง
“ได้ข่าวว่าช่วงหลังเจ้าอ่อนเพลียบ่อยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
เฉียนเจินพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้ามักจะรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา”
หรือว่านางจะไม่สบาย?
หลินเป่ยเฉินรีบยื่นมือไปจับชีพจรของนางและสำรวจดูภายในร่างกายอย่างรวดเร็ว “อย่าขยับนะ ขอข้าตรวจดูหน่อยว่าเจ้าป่วยเป็นอะไรหรือไม่… เฮ้ย!”
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็แสดงสีหน้าตกตะลึง
ความเหลือเชื่อปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาทันที
ดูเหมือนเฉียนเจินจะตั้งครรภ์
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่ใช่หมอจีน แต่ด้วยการสังเกตพลังปราณที่อยู่ในร่างกาย เขาจึงสามารถมองเห็นภาพจำลองภายในร่างกายของสาวรับใช้ได้อย่างละเอียด
และนั่นทำให้เขาได้พบว่าภายในช่องท้องของเฉียนเจินมีสิ่งมีชีวิตใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว
นี่เขากำลังมีลูกใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินถามตนเองด้วยความตกตะลึง
แน่นอนว่าตอนแรกเขาก็ไม่อยากรับผิดชอบ
แต่ว่า…
เพียงไม่กี่ลมหายใจ เด็กหนุ่มก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่รู้ตัว
เพราะนี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในชาติภพที่แล้ว
ส่วนในชาติภพนี้ ถึงหลินเป่ยเฉินจะเคยยุ่งเกี่ยวกับสตรีมาพอสมควร แต่เขาก็ไม่เคยทำใครท้องมาก่อน
และนับตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าต้องมีความผิดปกติเกี่ยวกับร่างกายของตนเองแน่ ๆ
เขาเคยร่วมหลับนอนกับหญิงสาวหลายคน แต่ไม่เคยมีผู้ใดแสดงท่าทีว่าจะตั้งครรภ์มาก่อน…
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เขาใช้เวลาอยู่กับเทพีกระบี่ในร่างของเยว่เว่ยหยาง หากจะมีผู้ใดมีโอกาสตั้งครรภ์มากที่สุด นางก็ต้องเป็นคนผู้นั้นเอง
แต่เยว่เว่ยหยางก็ไม่เคยแสดงท่าทีของการตั้งครรภ์
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงคิดเอาเองว่าการที่เขาทะลุมิติมาจากโลกอื่นนั้น คงทำให้ร่างกายของเขาเป็นหมันถาวร ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องราวนี้อีก เพราะเขาเข้าใจว่าตนเองคงไม่สามารถมีทายาทสืบสายเลือดได้อีกแล้ว