เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1954 เผชิญหน้ามือกระบี่เมินฟ้า
ตอนที่ 1,954 เผชิญหน้ามือกระบี่เมินฟ้า
ครืน!
ห่างออกไปไม่ไกล รถม้าขนาดใหญ่ยักษ์คันหนึ่งก็ห้อตะบึงผ่านแผ่นฟ้าเข้ามา
ผู้ที่อยู่บนรถม้าคันนั้นมีนามว่าเต๋อหลุน เป็นอสูรผู้ควบคุมกองทัพซิงไห่
เต๋อหลุนเป็นอสูรร่างใหญ่เท่ากับตึกสูงสิบชั้น ดวงตาสีแดงเป็นประกายอำมหิต พร้อมที่จะสังหารผู้คนได้ทุกเมื่อ
“คารวะท่านผู้อาวุโสขอรับ”
แต่เมื่อมาเผชิญหน้ามือกระบี่เมินฟ้า แม้แต่อสูรร้ายกระหายเลือดอย่างเต๋อหลุนก็ยังต้องสงบเสงี่ยมขึ้นมาทันที เต๋อหลุนวางมือข้างหนึ่งของตนเองลงบนหน้าอกและกล่าวว่า “ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้อาวุโสกำจัดกองทัพมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเหล่านั้นให้สิ้นซากขอรับ”
มือกระบี่เมินฟ้าไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย
เพราะในสายตาของเขา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูร ล้วนแต่มีความต่ำต้อยไม่ต่างกันทั้งสิ้น
เพราะมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ
ส่วนอสูรก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่หยาบช้า เลวทรามและสกปรก
ไม่คู่ควรให้เขาเสวนาด้วย
เห็นได้ชัดว่ามือกระบี่เมินฟ้าไม่แยแสอสูรโลหิตผู้นี้แม้แต่น้อย
ชายวัยกลางคนยังคงกวาดสายตาต่อไป
จนกระทั่งสายตามาสะดุดที่ฮันซางเซียง
“ข้าจำเจ้าได้แล้ว”
เขายิ้มเล็กน้อยและกล่าวต่อ “เจ้าคือบุตรสาวของซุนเฉียน”
บนป้อมปราการลอยฟ้า ดวงตาของฮันซางเซียงพลันเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นไม่ต่างจากภูเขาไฟใกล้ระเบิด
นางกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วมือเป็นสีขาวโพลน
แต่ฮันซางเซียงรู้ดีว่าตนเองมีขั้นพลังต่ำต้อยมากกว่าฝ่ายตรงข้าม เพราะฉะนั้น ถึงสู้กันไปนางก็ไม่มีสิทธิ์ชนะเลย
ฮันซางเซียงจำเป็นต้องสะกดกลั้นความโกรธแค้นในหัวใจและเริ่มต้นวางแผนถอยทัพ
หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว ฮันซางเซียงพบว่าพวกนางมีวิธีรับมืออีกฝ่ายเพียงวิธีเดียวเท่านั้น…
เชิญตัวอวี้เหวินซิวเอ๋อออกมาจัดการ
จอมเทพอนันต์ย่อมรับมือกันและกันได้อยู่แล้ว
แต่บัดนี้ อวี้เหวินซิวเอ๋ออยู่ที่ใด?
ฮันซางเซียงกวาดสายตามองรอบตัว แต่ก็ไม่พบคนที่เป็นความหวังของตนเองอีกแล้ว
“ซุนเฉียน มารดาของเจ้าเคยเป็นแม่ทัพหญิงที่สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกร เมื่อยกมือออกคำสั่งผู้ใด ทุกเหล่าทัพก็พร้อมติดตามนางอย่างไม่มีข้อแม้”
มือกระบี่เมินฟ้าไม่รีบร้อนที่จะลงมือและยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่อไป “ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นยอดฝีมือที่ได้รับการจับตามองจากผู้คนมากมาย แต่แล้วนางก็ตกหลุมรักและแต่งงานกับมนุษย์ผู้หนึ่ง…”
“ในวันนั้น มารดาของเจ้าเกือบจะหลบหนีได้แล้วเชียว แต่สุดท้าย นางก็หนีเงื้อมมือของข้าไม่พ้นอยู่ดี กว่าข้าจะสามารถสังหารนางได้ก็เล่นเอาเหนื่อยแรงอยู่เหมือนกัน ไม่เสียทีที่นางมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพจักราตอนปลาย แต่น่าเสียดายที่นางไม่ใช่จอมเทพอนันต์ มิเช่นนั้น ทุกอย่างคงต่างไปจากนี้…”
ชายวัยกลางคนสามารถพูดถ้อยคำอำมหิตได้ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบยิ่ง
ฮันซางเซียงรับฟังจนร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง แทบควบคุมสติของตนเองไม่ได้อีกแล้ว
ความตายของมารดาคือฝันร้ายในหัวใจของฮันซางเซียง
และเมื่อศัตรูผู้สังหารมารดามาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าและย้ำเตือนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อให้ฮันซางเซียงมีหัวใจแข็งกระด้างดั่งหินผา นางก็ไม่สามารถทนทานได้อีกแล้ว
แต่ในจังหวะที่นางกระชับหอกคู่กายอยู่ในมือและกำลังจะโจมตีออกไปนั้นเอง…
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อนว่า
“สุนัขที่ใดมาเห่าหอนอยู่แถวนี้?”
เสียงนั้นไม่คุ้นหูสำหรับผู้อื่น แต่คุ้นหูสำหรับฮันซางเซียงและนางก็ได้สติขึ้นมาทันที
และทันใดนั้น นางก็ได้พบเห็นบุคคลที่ตนเองเป็นห่วงมาหลายวัน
ไม่มีผู้ใดจะเหมาะสมสำหรับการใส่ชุดขาวมากไปกว่าเขาอีกแล้ว!
เขามาแล้ว
อวี้เหวินซิวเซียน!
บัดนี้ เขาปรากฏตัวออกมาแล้ว
ชุดขาวสะอาดราวหิมะโดดเด่นท่ามกลางความมืดรอบกาย เด็กหนุ่มมีสง่าราศีไม่ต่างไปจากดาวฤกษ์บนจักรวาลอันกว้างใหญ่
เขาเหาะเหินเดินอากาศตรงไปหามือกระบี่เมินฟ้า
เป็นท่วงท่าที่สง่างามยิ่งนัก
ทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มในชุดขาวผู้นี้ ความโกรธแค้นที่ปะทุอยู่ในจิตใจฮันซางเซียงไม่ต่างจากภูเขาไฟใกล้ระเบิดก็สงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากนั้น คำถามใหญ่จึงตามมา
อวี้เหวินซิวเซียนไม่ได้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ และไม่มีน้องชายอย่างอวี้เหวินซิวเอ๋ออยู่ข้างกาย แล้วเขากล้าพูดจาหยาบคายใส่มือกระบี่เมินฟ้าได้อย่างไร?
ความโกรธแค้นเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวล
ดวงตาของฮันซางเซียงจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้ใส่ชุดสีขาว
ห่างออกไปไม่ไกล
มือกระบี่เมินฟ้าจ้องมองไปยังหลินเป่ยเฉินที่ลอยมาหยุดอยู่ตรงหน้าและถามว่า “ไม่แปลกใจเลยที่กองกำลังก่อนหน้านี้ถูกกวาดล้างหมดสิ้น ที่แท้ก็มีจอมเทพอนันต์ซ่อนตัวอยู่นี่เอง… เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึงกล้าเสนอหน้าออกมาเช่นนี้?”
สัญชาตญาณบอกชายวัยกลางคนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์อย่างแน่นอน
นับว่าในกองทัพเป่ยเฉินยังคงมียอดฝีมืออยู่บ้าง
แต่นับดูรวม ๆ แล้ว นอกจากผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ กองทัพเป่ยเฉินก็มีผู้ที่บรรลุขั้นจอมเทพอนันต์อยู่ไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ
และมือกระบี่เมินฟ้าก็ทราบว่ายอดฝีมือเหล่านั้นเป็นผู้ใดบ้าง
แต่เด็กหนุ่มชุดขาวที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ มีรูปโฉมแตกต่างไปจากคนที่อยู่ในฐานข้อมูลของมือกระบี่เมินฟ้าหมดสิ้น
แสดงว่าต้องเป็นยอดฝีมือที่เร้นกายมานานแล้ว
อาจเป็นยอดฝีมือจากยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สองก็เป็นได้
ดูเหมือนว่าเผ่ามนุษย์ทะเลทรายจะสืบข่าวล่าช้าเกินไปแล้วสิ
“ข้าได้กลิ่นแปลก ๆ จากร่างกายของเจ้า…”
หลินเป่ยเฉินกล่าวพร้อมกับระเบิดพลังกดดันคุกคามออกไป “ข้าได้กลิ่นโสโครกของพวกมนุษย์ทะเลทรายจากร่างกายของเจ้า มิหนำซ้ำ ข้ายังได้กลิ่นของความเป็นมือกระบี่อีกด้วย… น้องชาย ไม่ทราบว่าเจ้าชื่ออะไรหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ผู้ที่มีความกล้าหาญ ผู้ที่มีความอาวุโส ผู้ที่อ่านใจฝ่ายตรงข้ามได้ทะลุปรุโปร่ง
มือกระบี่เมินฟ้าขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมาทันตา
เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมียอดฝีมือจากยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สองอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน?
แต่ถึงเป็นเช่นนั้นแล้วจะอย่างไร?
ยอดฝีมือจากยุคโบราณเช่นนั้นสมควรถูกกำจัดทิ้งไปนานแล้ว
มือกระบี่เมินฟ้าเคยหวาดกลัวผู้ใดด้วยหรือ?
เขาจะยอมก้มหัวให้แก่ยอดฝีมือ ‘โบราณ’ ได้อย่างไร?
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างเย็นชาและระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น “ฮ่า ๆๆ น้องชายอย่างนั้นหรือ?”
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินและกล่าวต่อไป “ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเช่นนี้กับข้ามานานแล้ว… ท่านผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าท่านเพิ่งคลานขึ้นมาจากหลุมศพใด? ยุคสมัยของท่านมันจบลงแล้ว ท่านสมควรกลับลงหลุมของท่านไปดีกว่า…”
มือกระบี่เมินฟ้าไม่ได้หวาดกลัวเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
และทันใดนั้น กระบี่สีขาวดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากคลื่นพลังที่รวมตัวอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคน
ได้เวลาที่ ‘มือกระบี่เมินฟ้า’ จะแสดงอานุภาพของ ‘กระบี่ปลิดปลิว’ ออกมาแล้วสินะ