เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1956 ความตกตะลึง
ตอนที่ 1,956 ความตกตะลึง
นอกจากความตกตะลึงแล้ว สีหน้าของมือกระบี่เมินฟ้ายังปรากฏความตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
ความจริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องพบกับยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าตนเอง แต่ทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มือกระบี่เมินฟ้าก็จะสามารถข่มความกลัวของตนเองและกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว
ต่อให้สวรรค์โกรธแค้นเขา เขาก็ไม่สนใจ
ในชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดที่มือกระบี่เมินฟ้าต้องหวาดกลัว
เขามีความคิดเช่นนี้เสมอมา
แต่เมื่อเห็นกระบี่คู่กายของตนเองตกไปอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน มือกระบี่เมินฟ้าก็เกิดอาการตกตะลึงมากกว่าทุกคน
ยอดฝีมือจากยุคโบราณท่านนี้มีความน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เซียนกระบี่?
นั่นหมายความว่าอะไรกัน?
ในโลกนี้ ไม่มีกระบี่เล่มใดสามารถปฏิเสธเขาได้อย่างนั้นหรือ?
นั่นคือคำพูดที่หยิ่งผยองไม่แพ้คำพูดของมือกระบี่เมินฟ้า
แต่ฟังดูมีชั้นเชิงมากกว่ากันหลายเท่า
มือกระบี่เมินฟ้าจำเป็นต้องข่มกลั้นความหงุดหงิดใจ ความตกตะลึงและความหวาดกลัวของตนเองลงไป
วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
คลื่นพลังกดดันยังคงปลดปล่อยออกมาจากตัวกระบี่อย่างต่อเนื่อง
นี่คือสัญญาณที่บอกว่าขอเพียงผู้ถือกระบี่ออกคำสั่งเท่านั้น กระบี่เล่มนี้ก็พร้อมที่จะสังหารผู้คนโดยทันที
นี่หมายความว่ากระบี่ปลิดปลิวยอมรับในการครอบครองของหลินเป่ยเฉินโดยสมบูรณ์
คลื่นพลังสีขาวดำแผ่ปกคลุมไปรอบบริเวณ ส่งผลให้มวลอากาศสั่นไหวราวกับผิวน้ำที่สั่นเป็นระลอกคลื่น
น่าตกตะลึง
นี่ไม่ใช่คลื่นพลังสังหาร
แต่เป็นคลื่นพลังที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของตัวกระบี่
นี่คือคลื่นพลังที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าตอนที่มันอยู่ในการครอบครองของมือกระบี่เมินฟ้าด้วยซ้ำ
คลื่นพลังจากตัวกระบี่สีขาวดำแผ่รัศมีกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้ง…
สุดท้าย มันก็กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในระยะสายตาอันกว้างไกล
แม้ว่ามือกระบี่เมินฟ้าจะมีสีหน้าเยือกเย็น แต่ในหัวใจของเขากำลังรู้สึกตกตะลึงและหวาดหวั่นอย่างอธิบายไม่ถูก
“ท่านผู้อาวุโสช่างมีพลังน่าเกรงขามยิ่งนัก ท่านเป็นเซียนกระบี่ใช่หรือไม่? ฮ่า ๆๆ แล้วอย่างไรเล่า? ข้ารังเกียจผู้ที่ชอบทำตัวข่มเหงผู้อื่นเป็นที่สุด ข้าจะไม่มีวันก้มหัวให้แก่ท่านเป็นอันขาด”
มือกระบี่เมินฟ้าเงยหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจและไม่มีอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แต่ยังไม่ทันที่หลินเป่ยเฉินจะได้ตอบรับคำใด สีหน้า ท่าทางและแววตาของมือกระบี่เมินฟ้าพลันเปลี่ยนไปเป็นคนละคนขณะกล่าวต่อ “ถึงกระนั้น ข้าย่อมเคยได้ยินตำนานเล่าขานที่กล่าวว่ายอดฝีมือจากยุคโบราณ โดยเฉพาะยอดฝีมือจากยุคแห่งการล่มสลายครั้งที่สองนั้น เคยช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ทะเลทรายของเราอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้น ถึงข้าจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ข้าก็ต้องแสดงความเคารพต่อผู้มีพระคุณของบรรพบุรุษอยู่บ้าง…”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนก็ประสานมือคำนับหน้าตาเฉย “ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
ทุกผู้คนล้วนตกตะลึง
แม้แต่หลินเป่ยเฉินเองก็ยังตั้งตัวไม่ทัน
ตาเฒ่านี่เป็นจอมเทพอนันต์จริงหรือเปล่าเนี่ย?
ทำไมถึงเปลี่ยนท่าทีได้รวดเร็วเช่นนี้?
“ต้องขออภัยท่านผู้อาวุโสด้วยที่ข้าประพฤติตนหยาบคายก่อนหน้านี้…”
มือกระบี่เมินฟ้ากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนน้อม
“ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะพร้อมกับกระชับกระบี่ในมือ
“ฮ่า ๆๆ ผู้อาวุโสล้อเล่นแล้ว”
ยิ่งพูดสีหน้าของมือกระบี่เมินฟ้าก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น “คนรุ่นหลังย่อมให้ความเคารพบรรพบุรุษ ที่เผ่ามนุษย์ทะเลทรายอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่ได้รับความช่วยเหลือจากชนชั้นยอดฝีมือในอดีตทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้อาวุโสต้องการสิ่งใด ข้าจะจัดหามาให้โดยไม่มีข้อแม้… แต่ผู้อาวุโสได้โปรดคืนกระบี่ของข้าน้อยมาเถอะขอรับ”
กล่าวจบ ชายวัยกลางคนก็ก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม
อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมืออายุหลายพันปี ต่อให้เขายอมก้มศีรษะก็ไม่ใช่เรื่องน่าอับอายแต่อย่างใด
มือกระบี่เมินฟ้าพยายามปลอบใจตนเองเช่นนั้น
“กระบี่นี้เป็นของข้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด
ใครยอมคืนก็คงบ้าไปแล้ว
เมื่อมีกระบี่วิเศษตกมาอยู่ในมือเช่นนี้ ยังจะมีผู้ใดยินดีคืนให้แก่เจ้าของอีกหรือ?
มือกระบี่เมินฟ้าพูดคำใดไม่ออกอีกต่อไป
ในเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้ แล้วเขายังจะกล่าวอะไรได้อีก
แต่ถึงกระนั้น มือกระบี่เมินฟ้าก็ยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
“แต่กระบี่เล่มนี้เป็นข้าน้อยสร้างขึ้นมาเองกับมือ มันคือของรักของหวงของข้าน้อย…”
ชายวัยกลางคนพยายามบีบเสียงเศร้าโศกเสียใจ
“กระบี่นี้เป็นของข้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยังคงยืนยันคำเดิมอย่างไร้ยางอาย
“แต่มันเป็นของข้าน้อย…”
มือกระบี่เมินฟ้าตัดสินใจลองพยายามดูอีกครั้ง
“ผิดแล้ว ต้องบอกว่ามันเคยเป็นของเจ้าต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะโดยตรงพร้อมกับกล่าวต่อ “แต่บัดนี้มันเป็นของข้า”
การแย่งชิงกระบี่ของผู้อื่นนั้น มีความผิดมหันต์เท่ากับการแย่งชิงคนรัก
แต่นี่คือเรื่องถนัดของหลินเป่ยเฉิน
มือกระบี่เมินฟ้าแทบจะกระอักเลือดด้วยความช้ำใจตาย
เขาเป็นผู้ที่มีความยโสโอหังและไม่เคยต้องหวาดกลัวผู้ใด แม้แต่ยอดฝีมือขั้นจอมเทพอนันต์ที่มีผู้คนหนุนหลังอย่างยิ่งใหญ่ แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับเขา ผู้คนเหล่านั้นก็ยังต้องหลบลี้หนีหน้าไปไกล
แต่วันนี้ นับว่าเป็นวันอัปยศของมือกระบี่เมินฟ้าอย่างแท้จริง
“ผู้อาวุโส แต่นี่ก็ถือว่าเป็นสมบัติของเผ่ามนุษย์ทะเลทราย…”
มือกระบี่เมินฟ้าตัดสินใจลองพยายามเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นธรรมดาหรือยอดฝีมือ ขอแค่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเท่านั้น เมื่อเกิดสถานการณ์คับขันขึ้นมา ก็ต้องอ้างอิงถึงความยิ่งใหญ่ของบิดามารดาตนเองเสมอ
มือกระบี่เมินฟ้าตัดสินใจใช้ชื่อเสียงของเผ่ามนุษย์ทะเลทรายเข้าต่อรอง
บัดนี้ ไม่มีผู้ใดไม่หวาดกลัวเผ่ามนุษย์ทะเลทราย
แต่เขาลืมไปว่าตนเองไม่เคยล่วงรู้ประวัติความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามเลย
“ข้าเกลียดเผ่ามนุษย์ทะเลทรายที่สุด ในเมื่อเจ้าเป็นสมาชิกของพวกมัน งั้นเจ้าก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา…”
กล่าวจบ หลินเป่ยเฉินก็ตวัดกระบี่ปลิดปลิววูบ คลื่นพลังกดดันพุ่งตรงเข้าไปหามือกระบี่เมินฟ้าอย่างช้า ๆ
“ผู้อาวุโส… ได้โปรดใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม บัดนี้บ้านเมืองมีกฎระเบียบ หากท่านสังหารจอมเทพอนันต์โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ท่านจะต้องถูกสภาศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปไต่สวน...”
มือกระบี่เมินฟ้าตกตะลึงกับพลังกดดันที่แผ่เข้ามาถึงกายเป็นอย่างยิ่ง
เขาอยากจะหมุนตัวหลบหนีไป
แต่ร่างแยกของราชาหินดำก็มายืนดักอยู่ด้านหลังเสียแล้ว
สองเทพอนันต์ร่วมมือกัน
สำหรับมือกระบี่เมินฟ้า นี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
“ก่อนหน้านี้ เจ้ายอมรับเองว่าเป็นผู้สังหารมารดาของแม่ทัพฮันซางเซียง ไม่ทราบว่าเจ้านำศพของนางไปไว้ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินกระชับกระบี่ในมือและเดินผ่านอากาศธาตุที่ว่างเปล่าเข้าไปหาชายวัยกลางคนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเน้นย้ำทีละคำว่า “บัดนี้… ถึงเวลาที่เจ้าต้องส่งศพของนางกลับคืนมาแล้ว”