เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1962 ช่วงเวลาห้าร้อยปี
ตอนที่ 1,962 ช่วงเวลาห้าร้อยปี
หากมีผู้คนจัดลำดับชั้นในการทำให้สตรีหลงใหลได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็คงอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์แล้ว
ฮันปู้ฟู่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าบุตรสาวของตนเองจะกลายเป็นอีกหนึ่งคนที่หลงใหลในเสน่ห์ของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม
เฮ้อ ให้ตายสิ เกิดมาหล่อมันน่าทุกข์ใจอย่างนี้นี่เอง
ก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้คิดอะไรกับฮันซางเซียงเลยจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ต้องการให้เรื่องราวดำเนินมาในรูปแบบนี้
ใครจะไปคิดว่าฮันซางเซียงจะกลายเป็นบุตรสาวของสหายเก่า
นี่เป็นเรื่องที่ผู้ใดก็คาดเดาไม่ได้
หลินเป่ยเฉินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฮันปู้ฟู่จะมีบุตรสาวโตถึงขนาดนี้แล้ว
“อะแฮ่ม…”
หลินเป่ยเฉินกระแอมไออีกครั้งและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฮัน ท่านได้โปรดฟังข้าอธิบายก่อน”
หลินเป่ยเฉินไม่คิดเลยว่าการที่ตนเองได้กลับมาพบเจอกับศิษย์พี่ฮันอีกครั้ง เขาจะต้องมาอธิบายเรื่องราวเช่นนี้ด้วย
ความตื่นเต้นที่เคยมีก่อนหน้านี้ บรรยากาศที่ชวนให้ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลก่อนหน้านี้ อ้อมกอดที่แสนอบอุ่นก่อนหน้านี้ ทุกอย่างสลายหายไปเพราะเรื่องราวของฮันซางเซียง
ฮันปู้ฟู่หันกลับมามองหน้าบุตรสาวด้วยแววตาเคร่งขรึม “ซางเซียง ท่านอาหลินกับพ่อมีเรื่องต้องพูดคุยกัน พวกเราไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ ส่วนเรื่องราวของเจ้า เดี๋ยวเราค่อยมาตกลงกันในภายหลัง”
ฮันซางเซียงกะพริบตาปริบ ๆ
ท่านอาหลินอย่างนั้นหรือ?
เป็นสหายเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี?
ฮันซางเซียงสามารถขึ้นเป็นแม่ทัพในกองบัญชาการของตนเองได้ แน่นอนว่านางย่อมมีความฉลาดเฉลียว แต่เพียงเพราะเมื่อสักครู่นี้ตื่นเต้นและเป็นกังวลมากเกินไปที่พบเห็นคนรักและบิดาของตนเองกำลังต่อสู้กัน ด้วยเหตุนั้น ฮันซางเซียงจึงลืมนึกถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ หมดสิ้น…
นางหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อย
ตราบใดที่เขาทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ เรื่องราวก็จะไม่มีปัญหาใด ๆ
หลินเป่ยเฉินรีบปั้นหน้าเคร่งเครียดและกล่าวว่า “ความจริงนั้นข้ามีชื่อว่าหลินเป่ยเฉิน ข้าเป็นสหายเก่ากับบิดาของท่าน เมื่อสักครู่นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ท่านแม่ทัพฮันอย่าได้เป็นห่วงไปเลย ขอข้าได้พูดคุยกับบิดาของท่านก่อน ท่านออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ”
ฮันซางเซียงเบิกตาโตด้วยความพิศวง
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอันใด
ในเส้นทางดาราจักรอันกว้างใหญ่ ผู้คนมีชีวิตยืนยาว บางครั้งการกลับมาพบกันใหม่ในรอบหลายร้อยปีก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
ฮันซางเซียงผงกศีรษะ ก่อนจะหันกลับไปทำตาดุใส่บิดา “ท่านพ่อก็อย่ารุนแรงกับเขานักล่ะ”
เมื่อกล่าวจบ ฮันซางเซียงก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างช้า ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะกล่าวคำใดอีกแล้ว
นางหมายถึงอะไรกัน?
ฮันซางเซียงจะให้เขาระวังตัวอะไร?
บิดาของนางกับเขาเป็นสหายเก่าแก่กันมาช้านาน ยังจะต้องมีอะไรให้ระวังอีกหรือ?
ฮันปู้ฟู่ก็ไม่รู้ว่าตนเองสมควรตอบรับอย่างไรเช่นกัน
อย่าทำรุนแรงเกินไปอย่างนั้นหรือ?
บุตรสาวของเขาไม่เข้าใจเลยว่าเขากับท่านอาหลินมีความรักใคร่กลมเกลียวกันเพียงใด
บุรุษต่างวัยต่างก็พูดคำใดไม่ออก
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะอ้าแขนออกกว้างและทำลายความเงียบด้วยการกล่าวว่า “ศิษย์พี่ฮัน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน… ขอข้ากอดหน่อยได้หรือไม่? ข้าอยากรู้นักว่ากล้ามเนื้อบนหน้าอกของท่านยังคงอบอุ่นเหมือนเดิมไหม?”
ริมฝีปากของฮันปู้ฟู่กระตุกเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็กระโดดเตะหลินเป่ยเฉิน “ข้าจะฆ่าเจ้า คิดอะไรอยู่ถึงได้มาหลอกลวงบุตรสาวของข้า!”
“เข้าใจผิดแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยกแขนขึ้นป้องกันและเหวี่ยงหมัดกลับไป
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ทั้งสองคนต่อสู้กันอีกครั้ง
ครั้งนี้เป็นการปะทะกันด้วยหมัดเท้าเข่าศอกล้วน ๆ ไม่มีอาวุธอื่นใดมาเกี่ยวข้อง
“ให้ตายสิ ศิษย์พี่ฮัน นี่ท่านขึ้นสู่ขอบเขตจอมเทพอนันต์แล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินที่ถูกเตะจนกระเด็นร่ำร้องออกมา ผมขาดไปหลายเส้น
เขาตกตะลึง
ฮันปู้ฟู่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์แล้ว
และเป็นจอมเทพอนันต์ตอนกลางเสียด้วย
“เจ้าเองก็ไม่เลวนะ ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนาน บัดนี้อยู่ในขั้นจอมเทพจักราตอนปลายแล้ว”
เสื้อคลุมของฮันปู้ฟู่ฉีกขาด ผมเผ้ายุ่งเหยิง ยิ้มเยาะ “แต่บัดนี้ เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า”
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
ทั้งสองฝ่ายยังคงต่อสู้กันอีกหลายกระบวนท่า ก่อนที่จะหยุดชะงักลงในที่สุด
พวกเขามองหน้ากัน
ไม่พูดคำใด
แต่ในที่สุดก็สวมกอดกันแนบแน่น
“ข้านึกว่าในชีวิตนี้จะไม่ได้เจอกับเจ้าอีกแล้ว”
ฮันปู้ฟู่กล่าวด้วยความตื้นตันใจ “ตอนที่ข้าได้ข่าวจากเซี่ยอู๋ ข้าก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเจ้าแน่ ๆ นอกจากเจ้าก็ไม่มีผู้อื่นเจ้าเล่ห์แสนกลเช่นนี้อีกแล้ว”
“เอ่อ… ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำชมเชยก็แล้วกันนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “ข้าเองก็ได้ข่าวเกี่ยวกับกองทัพเป่ยเฉิน และได้ทราบรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จากปากคำของเซี่ยอู๋ และข้าก็มั่นใจในทันทีว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน แต่นายทหารของท่านซื่อสัตย์มากเกินไป เขาไม่ยอมพาข้ามาพบท่าน เพราะฉะนั้น ข้าจึงทำได้เพียงฝากบอกคำพูดผ่านเขาไป…”
“แล้วเจ้ามาอยู่ที่เส้นทางดาราจักรได้อย่างไร?”
“แล้วท่านมาอยู่ที่เส้นทางดาราจักรได้อย่างไร?”
พวกเขาพูดออกมาพร้อมกัน
“เจ้ากล่าวก่อนเถอะ”
ฮันปู้ฟู่ว่า
หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งและหยิบบุหรี่ออกมาโยนให้ฮันปู้ฟู่ จากนั้นจึงนำขวดสุราออกมาเทใส่ถ้วยสองใบพร้อมกับกล่าวว่า “เรื่องมันยาวมากขอรับ คือว่าตั้งแต่ที่ท่านหายตัวไป พวกเราก็…”
หลินเป่ยเฉินอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ฮันปู้ฟู่รับฟังด้วยความตื่นเต้น
และเขาก็อุทานออกมาว่า “สรุปก็คือ พวกเรายังมีหวังที่จะชุบชีวิตแผ่นดินตงเต้าใช่หรือไม่?”
กาลครั้งหนึ่ง ฮันปู้ฟู่เคยฝันว่าได้กลับไปบ้านเกิด ได้กลับไปหามารดาและน้องสาว ได้กลับไปหามิตรสหายอย่างพวกของหลินเป่ยเฉินและเขาถึงกับเคยฝันว่าได้กลับไปดูต้นไม้ที่ถูกปลูกอยู่หน้าสำนักศึกษากระบี่ที่สามและเดินท่องเที่ยวตามร้านค้าแผงลอยข้างสำนักศึกษาด้วยซ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้นคือภาพแห่งความสุขที่ประทับอยู่ในหัวใจของฮันปู้ฟู่
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะและตอบว่า “บัดนี้ ท่านสามารถกลับไปที่นั่นได้ตลอดเวลา”
หลังจากนั้น เขาก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายถามบ้างว่า “แล้วท่านล่ะ? ท่านมาอยู่ที่โลกใบนี้ได้อย่างไร? แล้วทำไมรูปโฉมถึงกลายเป็นชายวัยกลางคนไปเช่นนี้?”
ฮันปู้ฟู่ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มก่อนตอบว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่? ข้าอยู่ที่นี่มาห้าร้อยปีแล้ว…”