เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1964 เรื่องเล่าของฮันปู้ฟู่
ตอนที่ 1,964 เรื่องเล่าของฮันปู้ฟู่
หลินเป่ยเฉินรับฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ชะตาชีวิตของศิษย์พี่ฮันไม่ต่างจากพระเอกในนิยายออนไลน์สักเรื่องหนึ่ง
มนุษย์มีการฝึกวิชาตามวิถียี่สิบสี่สายเลือด ซึ่งแต่ละสายเลือดนั้นก็จะมีรูปแบบการฝึกฝนแตกต่างกันไป
แต่การจะเป็นผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรงจากบรรพบุรุษผู้บุกเบิกนั้นนับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
การที่ฮันปู้ฟู่ได้อยู่ในวิหารแห่งกาลเวลาหมายความว่าอย่างไร?
นั่นหมายความว่าบรรพบุรุษแห่งสายเลือดผู้ท่องกาลเวลาได้รับตัวศิษย์พี่ฮันเป็นลูกศิษย์สายตรง
“ท่านกลายเป็นผู้สืบทอดสายเลือดของเขาเช่นนี้ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ได้มีโอกาสพบกับบรรพบุรุษแห่งสายเลือดผู้ท่องกาลเวลาบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินตั้งคำถามด้วยความสงสัย
ฮันปู้ฟู่ส่ายศีรษะตอบกลับไปว่า “ข้าไม่เคยพบเจอเขาเลยสักครั้ง แต่ข้าเคยพยายามตามหาแล้ว สุดท้ายก็ต้องล้มเหลว ดังนั้น ข้าจึงเดาเอาว่าบรรพบุรุษแห่งของผู้ใช้สายเลือดผู้ท่องกาลเวลาอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้”
เสียชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ?
เมื่อได้รับฟังดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่
เพราะเขาเองก็ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาก็ได้เสียชีวิตแล้วเช่นกัน
แม้แต่พวกเผ่ามนุษย์ทะเลทรายก็ยังปล่อยข่าวลือว่าองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตแล้ว
ดูเหมือนในโลกใบนี้จะไม่มีสิ่งใดอยู่ยั้งยืนยงจริง ๆ
“แล้วท่านกลายมาเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเป่ยเฉินได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถามอีกครั้ง
ฮันปู้ฟู่ตอบว่า “หลังจากที่ข้าบรรลุขั้นจอมเทพอนันต์ ข้าก็ออกเดินทางในเส้นทางดาราจักร และได้เข้าไปรับใช้สภาศักดิ์สิทธิ์ ข้าต้องการจะใช้อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เป็นบ้านหลังใหม่ของตนเอง ข้ารับใช้สภาศักดิ์สิทธิ์ด้วยความซื่อสัตย์ ข้าออกไปต่อสู้กับพวกอสูรและปีศาจด้วยความมุ่งมั่น”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชายวัยกลางคนก็ฟังดูฮึกเหิมขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจไม่น้อย
ปรากฏว่าศิษย์พี่ฮันได้รับใช้สภาศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ด้วยสินะ?
“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังหน่อยสิ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
ฮันปู้ฟู่เริ่มต้นเล่าเรื่องราวอีกครั้ง “สภาศักดิ์สิทธิ์เป็นฐานบัญชาการใหญ่ของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มันตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ดาวเคราะห์ดวงนั้นมีความสวยงามและยิ่งใหญ่ ผู้คนกล่าวขานกันว่ามันเป็นดาวเคราะห์ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเส้นทางดาราจักร เจ้าไม่มีทางเคยเห็นดาวเคราะห์ใดที่มีความสวยงามถึงเพียงนี้มาก่อน มันเป็นสถานที่ที่เจ้าสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อปกป้องมัน”
“ดาวเคราะห์ที่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มีแผ่นดินกว้างใหญ่และมีท้องทะเลสวยงาม ความกว้างใหญ่ของเมืองหลวงแห่งนั้นว่ากันว่ามีเพียงองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวเท่านั้นที่เคยสำรวจได้ครบถ้วน แม้แต่ผู้ติดตามซึ่งเป็นผู้บุกเบิกยี่สิบสี่สายเลือดหลักของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังไม่สามารถสำรวจได้ครบถ้วนด้วยซ้ำ…”
เมื่อกล่าวถึงเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ น้ำเสียงของฮันปู้ฟู่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
แต่หลังจากนั้น เสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นความโกรธแค้น “โชคร้ายที่ตอนนั้นข้ายังไม่มีอำนาจเหมือนตอนนี้ สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนแตกต่างจากเมื่อหลายพันปีก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ความรุ่งเรืองกลายเป็นเพียงอดีตที่อยู่ในตำราประวัติศาสตร์เท่านั้น…”
“เรื่องราวมันเป็นอย่างไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินรีบถามด้วยความอยากรู้
ฮันปู้ฟู่ตอบโดยไม่ปิดบังว่า “เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน ตอนที่องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เก็บตัวเพื่อหลอมรวมพลัง พระองค์ท่านได้ทิ้งบัลลังก์ทองคำเอาไว้ให้ทางสภาศักดิ์สิทธิ์ดูแล และหลังจากนั้นเอง บรรดาผู้บุกเบิกยี่สิบสี่สายเลือดก็เริ่มหายตัวไปทีละคนสองคน… จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พวกเขาก็ยังไม่กลับมา”
“ทำไมล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความกระตือรือร้น
บรรดาบรรพบุรุษผู้บุกเบิกยี่สิบสี่สายเลือดเหล่านั้นสมควรมีพลังแข็งแกร่งและมีชีวิตเป็นอมตะไม่ใช่หรือ?
ความแข็งแกร่งของพวกเขาน่าจะเป็นรองเพียงองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวเท่านั้น
แล้วเหตุใดจึงหายตัวไปอย่างลึกลับ?
ฮันปู้ฟู่ตอบว่า “นี่แหละที่เป็นปริศนาและมันก็กลายเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่มีผู้ใดควรเอ่ยถึง ข้าเองก็เคยลองสืบสวนเรื่องนี้ดูแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ เลย เต็มที่ข้าก็รับทราบเพียงข่าวลือว่าในกลุ่มยี่สิบสี่บรรพบุรุษนั้นมีสี่คนที่ลงมือทรยศพรรคพวกของตนเอง… เหตุผลแห่งการทรยศนั้นเป็นเพราะพวกเขาต้องการแย่งชิงบัลลังก์ทองคำขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้าก็ไม่สามารถหาหลักฐานยืนยันได้เลยว่านี่เป็นความจริงหรือไม่”
หักหลังกันเองอย่างนั้นหรือ?
เกิดความแตกแยก?
แย่งชิงผลประโยชน์?
นี่มันพล็อตนิยายแนวมาเฟียแย่งชิงอำนาจกันชัด ๆ
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ “ท่านกล่าวต่อเถอะ”
ฮันปู้ฟู่จึงบอกเล่าต่อไปว่า “ปัจจุบันนี้ อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ควบคุมโดยบรรดาขุนนางที่อยู่ในสภาศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาก็มีสิทธิ์ในการควบคุมกองทัพของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ข้าเองก็เคยอยู่ในสภาศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ข้ามีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการพิเศษ หน้าที่ของข้าคือการออกลาดตระเวนตรวจสอบความเรียบร้อยดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในการปกครองของพวกเรา แม้ตำแหน่งของข้าจะฟังดูต่ำต้อย แต่มันก็ทำให้ข้ามีโอกาสได้เจอกับดินแดนของผู้มีอำนาจมากมาย และนั่นก็ทำให้ข้าได้เห็นภาพรวมทั้งหมด…”
หลินเป่ยเฉินรับฟังอย่างใช้ความคิด
ฟังดูเหมือนไม่ใช่หน้าที่ผู้ตรวจการ
แต่เป็นหน้าที่ของท่านทูตสานสัมพันธ์ไมตรีมากกว่า
ฮันปู้ฟู่กล่าวต่อไปอีกครั้ง “ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์มีดาวเคราะห์ให้ผู้ตรวจการพิเศษต้องออกลาดตระเวนถึง 9,999 ดวง ข้าใช้เวลาร้อยปีหลังจากนั้นออกเดินทางไปตรวจตราดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่อยู่ในเส้นทางดาราจักร ข้าจึงได้พบเห็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนดุร้ายด้วยตาของตนเอง… และยิ่งข้าค้นพบว่าความป่าเถื่อนโหดร้ายเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้มีอำนาจในสภามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากเท่านั้น ข้าพบว่าอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับเป็นคนป่วย แต่เป็นคนป่วยที่ไม่ต้องการรับการรักษา”
“ฟังดูเหมือนท่านจะพบเจอเรื่องราวมามากมายจริง ๆ นะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพอจะคาดเดาบางอย่างได้แล้ว
ฮันปู้ฟู่เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในความยุติธรรมสูงสุด เรื่องนั้นหลินเป่ยเฉินทราบดี
ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ยังศึกษาอยู่ด้วยกันในสำนักศึกษากระบี่ที่สาม หรือจะเป็นตอนที่ฮันปู้ฟู่รับใช้กองทัพในฐานะนายทหาร และต้องเผชิญหน้าพายุลมฝนหิมะ ณ เขตชายแดนเหนือ ฮันปู้ฟู่ก็ไม่เคยหวาดหวั่นต่อสิ่งใดทั้งสิ้น เขาพร้อมที่จะสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องทุกคนเสมอ
ด้วยความเชื่อเช่นนี้ แม้ต้องตายในสนามรบ ฮันปู้ฟู่ก็ไม่คิดเสียใจ
หลินเป่ยเฉินเชื่อว่ายิ่งตกลงสู่หุบเหวดาวตกและรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ความเชื่อมั่นในการเสียสละเช่นนี้ของฮันปู้ฟู่ก็ยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเดิม
ส่วนพวกขุนนางในสภาศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรบ้างนั้น หลินเป่ยเฉินไม่อาจทราบได้
แต่เขาเคยเจอบรรดาขุนนางในสภาของอาณาจักรซือเว่ยมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินจึงรู้ดีว่าขุนนางเหล่านี้มีทั้งพวกที่เป็นงูพิษ พวกที่เป็นหมูโง่และพวกที่ละโมบโลภมาก...
กลุ่มคนชั่วช้ารวมตัวกันเป็นฐานอำนาจที่แข็งแกร่ง
และในฐานะผู้ตรวจการพิเศษ เมื่อฮันปู้ฟู่พบกับคนเหล่านั้น เขาจะทำอย่างไร?
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองทราบคำตอบดีอยู่แล้ว
ฮันปู้ฟู่เป็นผู้ที่ยึดมั่นในความถูกต้อง เขาจึงกำจัดคนชั่วเหล่านั้นอย่างไร้ความเมตตา
นี่จึงทำให้ฮันปู้ฟู่มีศัตรูอยู่เป็นจำนวนมาก
ในภายหลัง ฮันปู้ฟู่ก็จะถูกกดดัน ถูกบีบบังคับ และถูกล่อลวงให้ติดกับดัก
ฮันปู้ฟู่กล่าวต่อไปว่า “เจ้าคงพอจะเดาได้แล้วสินะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น… ใช่แล้ว ข้าพบกับอุปสรรคขัดขวางมากมาย แต่ข้าก็ได้พบกับผู้มีพระคุณที่คอยช่วยเหลือข้า คอยช่วยชีวิตข้าไว้หลายครั้ง และนางก็ได้แต่งงานให้กำเนิดบุตรสาวกับข้าหนึ่งคน… ถูกต้อง นางก็คือมารดาของซางเซียงเอง”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ
ในใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
เพราะเขานึกได้ว่ามารดาของฮันซางเซียงต้องตายด้วยน้ำมือของมือกระบี่เมินฟ้า
แม้แต่ซากศพก็ไม่มีเหลือ
หลงเหลือกลับมาเพียงชุดเกราะชุดหนึ่งเท่านั้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ภรรยาของฮันปู้ฟู่ได้เสียชีวิตไปแล้ว…
หลินเป่ยเฉินจ้องมองศิษย์พี่ของตนเองอยู่พักใหญ่ เขาไม่ทราบอีกแล้วว่าตนเองสมควรกล่าวอย่างไรดี
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วเกือบยี่สิบตอน!! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย