เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1965 กลับไปพบเจอมารดา
ตอนที่ 1,965 กลับไปพบเจอมารดา
หากหลินเป่ยเฉินรู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ เขาจะไม่มีทางปล่อยให้มือกระบี่เมินฟ้าได้ลอยนวลไปแน่นอน เขาจะต้องฉีกกระชากร่างของมือกระบี่ผู้นั้นให้ตายทั้งเป็นเพื่อแก้แค้นให้แก่ศิษย์พี่ฮันอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีโอกาสอยู่
หลินเป่ยเฉินสาบานอยู่ในใจว่าเขาจะต้องสังหารมือกระบี่เมินฟ้าให้จงได้
เขาจะต้องหาวิธีที่โหดร้ายที่สุดมาสังหารคนผู้นั้น
ฮันปู้ฟู่กล่าวว่า “ภายหลังเกิดเรื่องขึ้น พ่อตาของข้าถูกสังหาร ข้ากับบุตรสาวจึงหลบหนีออกมาจากเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ตอนแรกข้าเพียงอยากหาตัวคนร้ายเพื่อแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงก่อตั้งกองกำลังของตนเองขึ้นมา และในภายหลัง กองกำลังนั้นก็กลายเป็นกองทัพเป่ยเฉินในที่สุด…”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เพราะมันจะไปขุดความทรงจำที่เจ็บปวดของฮันปู้ฟู่กลับคืนมา
“ศัตรูของท่านเป็นผู้ใดหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถาม
ฮันปู้ฟู่ตอบว่า “พวกมันมีอยู่ด้วยกันสี่สำนัก หกพรรคและสิบสามหมู่ตึก...”
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ผู้เป็นศิษย์พี่ของหลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่อไปว่า “ภายหลังข้ายังได้ค้นพบอีกว่าพวกมันล้วนเกี่ยวข้องกับเผ่ามนุษย์ทะเลทราย”
หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาทันที “ศัตรูของท่านก็คือศัตรูของข้า ศิษย์พี่ฮัน ข้าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านเอง”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มเล็กน้อย
เขารู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้หลอกลวง
เพราะเขารู้จักหลินเป่ยเฉินดี
เพราะพวกเขาเป็นคนรุ่นเดียวกัน เพราะพวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน
ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความอีกแล้ว
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านกลับไปหาท่านป้าเอง”
แล้วหลินเป่ยเฉินก็รวบรวมพลังจิตเปิดประตูมิติกลับไปสู่เมืองหยุนเมิ่งอย่างรวดเร็ว…
แต่แล้วกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเล็กน้อย
หืม?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความหนืดหน่วง
การเดินทางผ่านประตูมิติมีความหนืดหน่วงมากกว่าเคย
หรือจะเป็นเพราะพลังของศิษย์พี่ฮัน?
ลำแสงสว่างวูบ
สายตาพร่าเลือนเพียงชั่วครู่
แล้วเมืองหยุนเมิ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
ฮันปู้ฟู่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าสถานศึกษากระบี่ที่สามและจ้องมองภาพทุกอย่างที่คุ้นเคยรอบตัว เป็นเวลาอึดใจใหญ่ทีเดียวที่เขาไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้เลย
นี่คือความรู้สึกของการได้กลับบ้านเกิดอย่างแท้จริง
ร่างกายของเขามีคลื่นพลังปกคลุมระยิบระยับ
แม้ฮันปู้ฟู่จะกลายเป็นชายวัยกลางคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายร้อยปี สู้รบในสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน แต่บัดนี้ หัวใจของเขากำลังเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้
ฮันปู้ฟู่กลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงความฝัน
“อย่ามัวยืนนิ่งเฉยอยู่เลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินดันหลังชายวัยกลางคนเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “รีบกลับบ้านไปหามารดาของท่านเถอะ”
ฮันปู้ฟู่สะดุ้งโหยงคล้ายกับตื่นจากความฝัน
รีบหมุนตัววิ่งไปยังทิศทางที่ตั้งบ้านพักของตนเองทันที
เวลาในเมืองนี้ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แต่เวลาชีวิตของฮันปู้ฟู่ผ่านไปถึงห้าร้อยปี
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปยาวนานมากเพียงใด ฮันปู้ฟู่ก็ยังจำทางกลับบ้านของตนเองได้เสมอ
เขาเร่งฝีเท้าเร็วมากขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบกายเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุด ฮันปู้ฟู่ก็มาถึงตรอกแคบอันคุ้นเคยและลานหน้าบ้านที่เขาจำได้ดี
บริเวณหน้าประตูรั้ว มีหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งซักผ้าและเก็บพืชผักพูดคุยกันส่งเสียงหัวเราะเฮฮาใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
หนึ่งในกลุ่มสตรีเหล่านั้นเป็นหญิงวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบถึงหกสิบปี ผมของนางเป็นสีเทา สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยเย็บปะอยู่ทุกหนทุกแห่ง หญิงวัยกลางคนผู้นี้มีรูปร่างผอมบาง แต่ใบหน้ามีเลือดสูบฉีดอย่างผู้มีสุขภาพแข็งแรง และการเคลื่อนไหวของนางก็ยังคล่องแคล่วว่องไว และนาน ๆ ครั้ง หญิงวัยกลางคนผู้นี้ก็จะชำเลืองมองมายังทางเดินคล้ายกับว่ากำลังรอคอยใครสักคนให้กลับมา
ฮันปู้ฟู่น้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกแล้ว
หญิงวัยกลางคนผู้นี้คือมารดาของเขาเอง
เป็นมารดาของเขาเอง!
นี่คือภาพที่เคยปรากฏขึ้นในความฝันของเขานับครั้งไม่ถ้วน
ฮันปู้ฟู่ตื่นเต้นจนพูดไม่ออกอีกแล้ว
และหญิงวัยกลางคนผู้นั้นก็หันมาเห็นฮันปู้ฟู่เข้าพอดี นางไม่ได้หยุดชะงัก เพราะสิ่งที่นางเห็นก็คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่แตกต่างจากบุตรชายของนางราวฟ้ากับเหว แต่สิ่งที่หญิงวัยกลางคนประหลาดใจก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังร้องไห้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจลุกขึ้นเดินเข้ามาถามด้วยความห่วงใยว่า “คุณชายเป็นอะไรไปหรือ? เหตุใดท่านจึงได้ร้องไห้ ไม่ทราบว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่? ท่านสามารถบอกพวกเราได้นะ”
ในปัจจุบันนี้ เมืองหยุนเมิ่งกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ชาวเมืองทุกคนล้วนภาคภูมิใจในสถานะความเป็นอยู่ของตนเองและมักจะคอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากอยู่เสมอ
ฮันปู้ฟู่รีบคุกเข่าลงต่อหน้าหญิงวัยกลางคนทันที
“ท่านแม่!”
ในที่สุด เขาก็สามารถส่งเสียงพูดออกมาได้อีกครั้ง
หญิงวัยกลางคนหยุดชะงัก แต่แล้วก็เหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง นางก็รีบเพ่งพินิจชายวัยกลางคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
แล้วนางก็คล้ายกับจดจำอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หัวใจของนางกระตุกวูบ ริมฝีปากสั่นระริก
“ท่านคือ…”
แม้นางจะรู้ว่าเป็นเขา แต่หญิงวัยกลางคนก็ไม่กล้าพูดออกมา
ฮันปู้ฟู่ร้องไห้ขณะกล่าวว่า “ลูกเองขอรับท่านแม่ ลูกฮันปู้ฟู่ ลูกกลับมาแล้ว”
บัดนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉิน ผู้ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีจิตใจเย็นชาดั่งหินผาผู้หนึ่งกำลังร้องไห้ราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง
ตุบ!
พืชผักที่ถืออยู่ในมือของหญิงวัยกลางคนร่วงหล่นลงบนพื้นดิน
นางจับใบหน้าของบุตรชายมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดและถามด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “เจ้าคือ… ลูกหมาน้อยของข้าจริง ๆ หรือ? เหตุใด… หน้าตาของเจ้าจึงเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้?”
…
หลินเป่ยเฉินออกสำรวจไปทั่วแผ่นดินตงเต้า
การกระโดดหนึ่งครั้งของเขาสามารถกินพื้นที่ได้ไกลหลายพันลี้
และภายในระยะเวลาไม่นาน เขาก็มองเห็นภาพรวมทั้งหมด
พื้นที่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ได้รับการฟื้นฟูแล้ว
พื้นที่ของจักรวรรดิจี้กวงก็ได้รับการฟื้นฟูเช่นกัน
เช่นเดียวกับจักรวรรดิเจิ้งหลงและจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ซึ่งเคยเป็นจักรวรรดิมหาอำนาจของแผ่นดินตงเต้ามาก่อน
บัดนี้ เหลือพื้นที่เพียงหนึ่งในสามของแผ่นดินตงเต้าเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูจากหลินเป่ยเฉิน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของโอรสสวรรค์ไม่เหลือร่องรอยอยู่อีกแล้ว
สภาพความอุดมสมบูรณ์ในปัจจุบันของแผ่นดินตงเต้า ทำให้หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้
เขาเห็นว่าตามวิหารมากมายมีรูปปั้นของตนเองยืนตระหง่าน ผู้คนกราบไหว้บูชาเขาไม่ต่างจากเทพเจ้าในอดีต
‘ติ๊ง!’
ทันใดนั้น เสียงข้อความเตือนพลันดังขึ้น
ปรากฏว่าเป็นการแจ้งเตือนว่าแอปเวยป๋อได้รับการอัปเดตเสร็จสิ้นแล้ว
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมากดเข้าไปยังโลโก้ดวงตาสีแดงบนหน้าจอ
“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีการแจ้งเตือนขึ้นมาตอนนี้ เราคงลืมไปเลยนะว่าในมือถือเรามีแอปเวยป๋ออยู่ด้วย”
หลินเป่ยเฉินกดเปิดแอปเวยป๋อ
และพบเห็นหน้าต่างการใช้งานที่คุ้นเคย
จำนวนผู้ติดตามของเขาคือ…
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตจนดวงตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
ให้ตายเถอะ!
ตอนนี้เขามีผู้ติดตามถึง 16.5 พันล้านคนแล้ว?!