เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1966 กลับสู่วิหารแห่งกาลเวลา
ตอนที่ 1,966 กลับสู่วิหารแห่งกาลเวลา
นี่มันอะไรกันเนี่ย
จำนวนผู้ติดตามทำให้หลินเป่ยเฉินตกตะลึงได้อย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินคิดว่านี่ต้องเป็นจำนวนของมนุษย์ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินตงเต้า ณ ปัจจุบัน… ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เช่น เผ่าพันธุ์ชาวทะเลและบรรดาสัตว์อสูรอีกด้วย
นี่คือจำนวนผู้ติดตามที่น่าเหลือเชื่อ
ต่อให้เป็นท่านมหาเทพในอดีตก็คงไม่สามารถมีสาวกได้มากมายถึงเพียงนี้
แต่โชคร้ายที่จำนวนผู้ติดตามไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้เลย
เพราะหลินเป่ยเฉินไม่ได้หลงใหลในพลังศรัทธา
เขาได้เห็นตัวอย่างจากท่านมหาเทพแล้วว่า ความหลงใหลในพลังศรัทธาและอำนาจ มันอันตรายมากเพียงใด
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองจอโทรศัพท์อย่างใช้ความคิดและโพสต์สเตตัสในแอปเวยป๋อไปว่า…
‘แผ่นดินของเรากำลังฟื้นฟู ทุกคนคงต้องเหนื่อยกันไม่น้อย’
หลินเป่ยเฉินเพียงต้องการจะโพสต์เล่น ๆ เท่านั้น
แต่ไม่กี่อึดใจให้หลัง สิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
บนแผ่นดินตงเต้าที่อยู่เบื้องล่าง วิหารเกิดการสั่นสะเทือน แล้วรูปปั้นของเขาก็ระเบิดแสงสว่างไสว ลำแสงนั้นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ครอบคลุมพื้นที่ยาวไกลหลายพันลี้
ปาฏิหาริย์!
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของทุกคน
“ข้าว่าข้าได้ยินเสียงกระซิบจากท่านเซียนกระบี่ด้วยล่ะ!”
“ข้าเองก็ได้ยินเช่นกัน ท่านเซียนกระบี่บอกว่าพวกเราคงเหนื่อยกันมากแล้ว”
“โอ๊ะ จริงด้วย… ข้าเองก็ได้ยินเหมือนกัน ข้านึกว่าตนเองได้เป็นผู้ที่ถูกเลือกแล้วเสียอีก”
“พวกเรารีบไปที่วิหารกันเถอะ เราต้องรีบสวดภาวนาให้แก่ท่านเซียนกระบี่เดี๋ยวนี้”
แล้วผู้คนจำนวนมากก็รีบเดินทางไปยังวิหารเซียนกระบี่
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้าในแผ่นดินตงเต้า
หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน
เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
เพราะเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนที่เขาเล่นแอปเวยป๋อเมื่อครั้งก่อน
เพียงแต่ไม่ได้น่าตกตะลึงเท่านี้
“ดูเหมือนจะเอาไว้เล่นสนุกได้ แต่ก็ยังเอาไว้ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้สนใจมากนัก
ความสามารถของแอปเวยป๋อไม่ได้ส่งผลต่อความสงบสุขหรือความมั่นคงของแผ่นดินตงเต้า ดังนั้นมันจึงไม่มีค่าให้หลินเป่ยเฉินสนใจอีกต่อไป
เขาเปิดประตูมิติเดินทางออกจากแผ่นดินตงเต้าและเข้าสู่ดินแดนทวยเทพ
ภายในดินแดนทวยเทพ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม
ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของวงแหวนอันธการ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
หลินเป่ยเฉินพุ่งตรงไปที่คฤหาสน์บนภูเขาเสี่ยวฝู
ณ สนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ ชิงเล่ยยังคงนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างเงียบงัน
วงแหวนอันธการลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง
“ข้ากลับมาเยี่ยมเจ้าแล้วนะ”
หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งอยู่ข้างกายชิงเล่ย
และเด็กน้อยอันอันก็ยังคงหยุดค้างอยู่ในอิริยาบถวิ่งเล่นอยู่ที่สนามหญ้าเช่นเดิม
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังคงสดใสเหมือนเคย
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ในความเงียบ
เมื่อครบเวลาหนึ่งก้านธูป เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นและเดินจากมา
…
หลังจากนั้นอีกหนึ่งก้านธูป
หลินเป่ยเฉินและฮันปู้ฟู่ก็เดินทางกลับสู่เส้นทางดาราจักร
เพียงไม่นาน กองทัพเป่ยเฉินก็เกิดเรื่องเร่งด่วนต้องการรับคำบัญชาจากฮันปู้ฟู่
ฮันปู้ฟู่ได้พบกับน้องสาวและมารดาเรียบร้อยแล้ว ความค้างคาใจที่มีมาตลอดหลายร้อยปีสลายหายสิ้น มิหนำซ้ำ ร่างกายยังแข็งแกร่งมากกว่าที่เคยเป็นมาและยังมีสัญญาณว่าอาจเลื่อนขั้นพลังได้อีกด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถใช้เวลาไปกับการเป็นลูกที่ดีได้สักเท่าไหร่
เพราะสงครามกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
หลินเป่ยเฉินเองก็จำเป็นต้องร่ำลาชิงเล่ยและบุตรสาวกลับมาเช่นกัน
“สถานการณ์ในสมรภูมิเหนียนเซียงเปลี่ยนไปแล้ว”
“กองทัพอสูรส่งป่าเต๋อ ยอดฝีมือตัวใหม่ของพวกมันมาที่นี่”
“และในชนชั้นยอดฝีมือของเผ่ามนุษทะเลทราย ยอดฝีมืออีกหนึ่งคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว”
ข้อมูลเหล่านี้ถูกรายงานมาจากสนามรบ
กองทัพเป่ยเฉินได้รับแรงกดดันมากขึ้น
ยิ่งมีชนชั้นยอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมากเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งกองทัพอสูรและเผ่ามนุษย์ทะเลทรายได้เตรียมตัวพร้อมมาเป็นอย่างดี
“ศิษย์พี่ฮัน บอกข้าทีว่าท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจยื่นมือเข้าไปแทรกแซง
ฮันปู้ฟู่ลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตอบว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุด ณ บัดนี้คืออีกฝ่ายส่งยอดฝีมือมามากเกินไป หากให้นายทหารสู้รบกันเองพวกเราคงชนะ แต่การต่อสู้ระหว่างชนชั้นยอดฝีมือต่างหากที่จะกำหนดผลแพ้ชนะของสงครามได้ดีที่สุด”
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างใช้ความคิดว่า “ลำบากน่าดูเหมือนกันนะขอรับ พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำยอดฝีมือของอีกฝ่ายอยู่ในขั้นไหน”
ฮันปู้ฟู่ผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ดูเหมือนพวกเราจะมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าผู้เป็นศิษย์พี่ด้วยความสนใจ
ฮันปู้ฟู่ตอบกลับมาว่า “ข้าต้องกลับไปที่วิหารแห่งกาลเวลา”
วิหารแห่งกาลเวลา?
“ท่านยังกลับไปที่นั่นได้อีกหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไปเถอะ ไม่ทราบว่าใช้เวลาเดินทางนานหรือไม่?”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเปิดประตูมิติกลับสู่บ้านเกิดได้อย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงอย่างแท้จริง
…
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
หลินเป่ยเฉินก็มาปรากฏตัวหน้าทางเข้าวิหารแห่งกาลเวลา
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปและเห็นเงาอันมโหฬารของสิ่งที่เหมือนวิหารเทพเจ้าตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา
หน้าประตูมีเสาหินศักดิ์สิทธิ์หกต้นตั้งตระหง่านแบ่งแยกออกเป็นซ้ายขวาและบนยอดด้านบนสุดของเสาแต่ละต้นก็จะเป็นที่ตั้งของนาฬิกาแดด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงติ๊ก ๆ ดังขึ้นตลอดเวลา
และบริเวณกลางประตูทางเข้าก็ยังมีรูปแกะสลักของนาฬิกาแดดขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่อีกเช่นกัน
เสาหินซึ่งเป็นที่ตั้งของนาฬิกาแดดเรือนนั้นแกะสลักข้อความเอาไว้ว่า ‘วิหารนวภพ’
และบริเวณฐานรองด้านล่างก็ยังมีข้อความแกะสลักเอาไว้อีกว่า ‘วิหารแห่งกาลเวลา’
นี่คือวิหารของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกสายเลือดผู้ท่องกาลเวลา
ที่นี่คือหนึ่งในวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
“พวกเราไปกันเถอะ”
ฮันปู้ฟู่เดินนำทางเข้าไป
นับตั้งแต่ที่บรรลุขั้นจอมเทพอนันต์ได้สำเร็จ ฮันปู้ฟู่ก็สามารถควบคุมวิหารหลังนี้ได้ตามใจปรารถนา
เขาสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตลอดเวลา
และสามารถพาผู้อื่นมาที่นี่ได้อีกเช่นกัน
ซึ่งหลินเป่ยเฉินถือเป็นคนแรกที่เขาพามาที่นี่