เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1967 คำทำนาย
ตอนที่ 1,967 คำทำนาย
ก่อนหน้านี้ แม้แต่ฮันซางเซียงผู้เป็นบุตรสาวเขาก็ยังไม่เคยพามาด้วยซ้ำ
เพราะฮันปู้ฟู่กลัวว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิหารแห่งกาลเวลาจะรั่วไหลออกไป
และฮันซางเซียงยังมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ การพานางมาที่นี่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้โดยไม่คาดคิด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเมื่อความลับที่เกี่ยวข้องกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเผยแพร่ออกไป เส้นทางดาราจักรก็จะต้องตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบกับบุตรสาวของตนเองแล้ว เห็นได้ชัดว่าฮันปู้ฟู่มีความเชื่อใจหลินเป่ยเฉินมากกว่ากันหลายเท่า
ไม่ใช่สิ
ต้องบอกว่าฮันปู้ฟู่แทบไม่เคยมีความสงสัยในตัวของหลินเป่ยเฉินเลยแม้แต่นิดเดียว
ในสายตาของเขา หลินเป่ยเฉินมักจะสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้อยู่เสมอ
หลินเป่ยเฉินเดินตามหลังฮันปู้ฟู่ไปตามทางเดินอันยาวไกลและวกวน
เดินไปเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด
ทุกการก้าวเดินสิบสองก้าวจะต้องพบกับทางเลี้ยวเสมอ
รอบข้างห้อมล้อมด้วยดวงดาวเป็นประกายระยิบระยับ
ราวกับว่าเฉลียงทางเดินนี้ตั้งอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่
หลินเป่ยเฉินเดินไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป เขาก็มาถึงลานจัตุรัสขนาดใหญ่
ลานจัตุรัสแห่งนี้มีขนาดเกือบเท่าสนามฟุตบอล
มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส
สี่มุมของลานจัตุรัสมีเสาหินตั้งอยู่มุมละหนึ่งต้น
ด้านบนสุดเชื่อมต่อกันด้วยสายโซ่
บนสายโซ่นั้นจะแขวนไว้ด้วยระฆังทองเหลืองทุก ๆ ระยะห้าสิบวา
และใจกลางลานจัตุรัสนั้นเป็นที่ตั้งของนาฬิกาหลายร้อยเรือน มีทั้งนาฬิกาขนาดเล็กและขนาดใหญ่ นาฬิกาเหล่านั้นล้วนแต่มีหน้าตาเป็นปกติ ไม่มีสิ่งใดวิเศษพิสดารทั้งสิ้น
“นาฬิกาเหล่านี้มีความสามารถพิเศษก็คือ พวกมันสามารถย้อนเวลาทำให้เจ้าเห็นได้ว่าในยุคสมัยของพวกมันนั้นเคยเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง…”
ฮันปู้ฟู่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า “ด้วยขั้นพลังในปัจจุบันของข้า ข้าสามารถใช้งานพวกมันได้เพียงสิบเรือนเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูด้วยความสงสัย
เขาสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่
ความมีมนต์ขลัง
สมแล้วที่เป็นวิหารของหนึ่งในยี่สิบสี่ผู้บุกเบิกแห่งสายเลือดเผ่าพันธุ์มนุษย์
สง่างาม
และนาฬิกาเหล่านั้นที่ฮันปู้ฟู่พูดถึง…
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูด้วยความพินิจพิเคราะห์
นาฬิกาแต่ละเรือนจะมีรูปแบบแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ รูปทรงหรือขนาด ต่างก็ไม่มีสิ่งใดเหมือนกันเลย
สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือเข็มนาฬิกายังคงเดินไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง
หลินเป่ยเฉินมองได้เพียงครู่เดียวก็รู้สึกตาลายขึ้นมา
ความเร็วและทิศทางของเข็มนาฬิกาเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นไปในจังหวะเดียวกัน เมื่อจ้องมองไปนาน ๆ เข้า หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกสะกดจิตเข้าสู่วังน้ำวนชวนเวียนหัว
ฮันปู้ฟู่เดินตรงไปยังนาฬิกาหินทรงกลมขนาดใหญ่ นาฬิกาหินเรือนนี้มีขนาดใหญ่โตมากกว่าตัวคนเสียอีก
และเข็มนาฬิกาของมันก็มีขนาดเท่ากับแขนเด็ก
นาฬิกาเรือนนี้มีเพียงเข็มเดียว
ฮันปู้ฟู่ปลดปล่อยแสงสว่างสีเงินออกจากร่างกายของตนเอง เขายื่นมือออกไปข้างหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ดันเข็มนาฬิกาย้อนกลับหลัง…
กริ๊ก!
ได้ยินเสียงกลไกโบราณทำงานขึ้นมาทันที
เมื่อเข็มนาฬิกาถูกหมุนย้อนกลับหลัง นาฬิกาหินเรือนนั้นก็มีเงาดำลอยออกมา
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ยิ่งเข็มนาฬิกาถูกหมุนย้อนหลังไปมากเท่าไหร่ เงาดำก็ยิ่งคืบคลานเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
เขาเห็นเพียงฮันปู้ฟู่ยังคงใช้นิ้วมือหมุนทวนเข็มนาฬิกาต่อไป แต่ดูเหมือนว่าเข็มนาฬิกาเริ่มมีแรงต้านมากขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
จนกระทั่ง ในที่สุด เข็มนาฬิกาก็มีแรงต้านจนฮันปู้ฟู่ไม่สามารถหมุนได้อีกต่อไป
เขาจึงปล่อยมือ
กริ๊ก!
เข็มนาฬิกาหมุนย้อนกลับมาตามทิศทางเดิม
เข็มนาฬิกายังคงหมุนวนต่อไปตามจังหวะปกติ
ฮันปู้ฟู่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“จอมเทพอนันต์ห้าคน”
เขากล่าวออกมาช้า ๆ “ครั้งนี้กองทัพอสูรร่วมมือกับเผ่ามนุษย์ทะเลทรายส่งจอมเทพอนันต์มาเข้าร่วมการสู้รบถึงห้าคน”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบและถามว่า “ศิษย์พี่เห็นทั้งหมดเพราะหมุนเข็มนาฬิกาเนี่ยนะ?”
ฮันปู้ฟู่พยักหน้าและตอบว่า “ข้าสามารถเห็นได้จากการหมุนและความเร็วของเข็มนาฬิกา ข้าสามารถรู้ได้ด้วยซ้ำว่ายอดฝีมือเหล่านั้นประกอบไปด้วยมือกระบี่เมินฟ้า ราชาหยกขาว จอมสังหารป่าเต๋อ พญาเหยี่ยวอสูรและผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่”
“นี่ถึงกับเห็นชื่อคนด้วยหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยิ่งประหลาดใจมากไปกว่าเดิม
นี่มันแทบจะเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติแล้ว
ฮันปู้ฟู่มีความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นไม่เข้าใจ
จึงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าเพราะเหตุใด กองทัพเล็ก ๆ อย่างกองทัพเป่ยเฉินจึงได้เจริญรุ่งเรืองภายในระยะเวลาไม่นาน และแทบจะไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดเลย
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเป่ยเฉิน ฮันปู้ฟู่เป็นคนนที่ไร้ยางอายที่สุด
เขาไม่ได้มีกลยุทธ์ที่ฉลาดล้ำเลิศ แต่เขามีความสามารถในการล่วงรู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามได้จากการหมุนเข็มนาฬิกา
“แต่นี่คือขีดจำกัดของข้า ด้วยขั้นพลังในปัจจุบันของข้า ข้าจึงสามารถตรวจจับได้เพียงผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ระดับเดียวกับตนเองเท่านั้น ส่วนผู้ที่อยู่ในขั้นพลังสูงกว่านี้ ข้ายังไม่สามารถตรวจจับได้…”
ฮันปู้ฟู่กล่าวไม่หยุดและรีบเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินรีบเดินตามไปถามด้วยความตื่นเต้น “หมายความว่าศิษย์พี่จะรู้เพียงข้อมูลของผู้อยู่ในขั้นพลังในระดับเดียวหรือต่ำกว่าตนเองเท่านั้น แต่ถ้าพวกมันส่งยอดฝีมือที่มีพลังสูงล้ำมากกว่าท่านมา ศิษย์พี่ก็จะไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยใช่ไหมขอรับ?”
ฮันปู้ฟู่พยักหน้าและตอบว่า “เป็นเช่นนั้นเอง แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากวิหารแห่งกาลเวลา แต่มันก็ยังไม่ได้ผล”
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน
เขาเชื่อว่าวิหารแห่งกาลเวลามีความสามารถในการบ่งบอกข้อมูล
เพียงแต่ว่าฮันปู้ฟู่ยังมีขั้นพลังต่ำต้อยเกินไปเท่านั้นจึงทำให้ไม่สามารถใช้งานวิหารแห่งนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า “งั้นการสู้รบครั้งนี้ก็ยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอยู่ขอรับ หากศัตรูส่งยอดฝีมือที่มีขั้นพลังสูงกว่าท่านมา พวกเราจะไม่พ่ายแพ้เอาหรือ?”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ถึงข้าจะตรวจจับพวกเขาไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่มีวิธีอื่น”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักอยู่กับที่
ประเสริฐ ดูเหมือนบัดนี้ ศิษย์พี่ฮันจะมีความชำนาญในการดึงจังหวะอารมณ์เหลือเกิน
“วิธีอื่นหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
ฮันปู้ฟู่เดินไปหยุดยืนอยู่หน้านาฬิกาโบราณเรือนหนึ่งโดยไม่ลังเลและตอบว่า “ข้าจะใช้คำทำนาย”