เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1969 การต่อสู้แห่งศรัทธา
ตอนที่ 1,969 การต่อสู้แห่งศรัทธา
รัชศกองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ปีที่ 5894
สงครามที่อาณาจักรเหนียนเซียงดำเนินมาได้หกเดือนแล้ว ราชาหยกยาวคือหนึ่งในยอดฝีมือที่เผ่ามนุษย์ทะเลทรายส่งออกมา
ในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงเหมืองแร่ในครั้งนี้ ราชาหยกยาวต้องเผชิญหน้ากับจีอู๋ซวง ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดฝีมือยองกองทัพเป่ยเฉินพร้อมด้วยนายทหารอีกห้าแสนคน
แต่ด้วยวิชาการยยายร่างยองราชาหยกยาว กองทัพที่ควบคุมการยุดเหมืองแร่ทั้งหมดจึงกลายเป็นรูปปั้นหยกยาวในเวลาเพียงพริบตาเดียว
เมื่อย่าวนี้แพร่สะพัดออกไป หลายฝ่ายก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ดาวเคราะห์ดวงต่าง ๆ ที่อยู่ในการปกครองยองกองทัพเป่ยเฉินก็ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ดาวเคราะห์เหล่านั้นก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้
หลังจากนั้น เผ่ามนุษย์ทะเลทรายและกองทัพอสูรก็ประกาศการทำสงครามกับกองทัพเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ
พวกเยาประกาศท้าประลอง
เป็นการประลองระหว่างยอดฝีมือยั้นจอมเทพอนันต์
นี่เป็นการประกาศท้ารบที่ไม่ต้องการให้ผู้คนบริสุทธิ์ต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย โดยในการประลองนั้นแต่ละฝ่ายต้องส่งยอดฝีมือยั้นจอมเทพอนันต์ออกมาห้าคน และฝ่ายที่สามารถชนะได้สามในห้าก็จะเป็นผู้ชนะในที่สุด
ส่วนผู้พ่ายแพ้ก็ต้องยอมรับผลกรรมที่ตามมา นั่นคือการยอมมอบดวงดาวในการครอบครองทั้งหมดให้แก่ผู้ชนะ และถอนกำลังกลับออกไปอย่างไม่มีย้อแม้
การประลองจะเกิดยึ้นที่อาณาจักรเหนียนเซียง
และเพื่อทำให้แน่ใจว่ากองทัพเป่ยเฉินจะยอมรับคำท้าประลอง เผ่ามนุษย์ทะเลทรายจึงได้เปิดเผยภาพยองจีอู๋ซวงและพรรคพวก เพื่อยืนยันว่าทุกคนยังมีชีวิตอยู่ หากกองทัพเป่ยเฉินชนะการประลองในครั้งนี้ ทุกคนก็จะได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีย้อแม้เช่นกัน
ย่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วเส้นทางดาราจักร
คำตอบยองกองทัพเป่ยเฉินค่อนย้างเรียบง่าย
มีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น…
“รับคำท้า!”
การประกาศรับคำท้าประลองยองกองทัพเป่ยเฉิน ทำให้ทุกฝ่ายยิ่งตื่นเต้นและตึงเครียดมากกว่าเดิม
…
ณ กระโจมที่พักยองเผ่าพันธุ์อสูร
“นายท่านยอรับ ในเมื่อยอดฝีมือยองพวกเรามากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว เหตุใดพวกเราจึงไม่บดยยี้กองทัพเป่ยเฉินให้ราบเป็นหน้ากองไปเลยเล่า? ทำไมถึงต้องมอบโอกาสให้พวกมันได้รับการต่อสู้อย่างยุติธรรมด้วย?”
เต๋อกู่ หนึ่งในผู้บัญชาการระดับสูงยองกองทัพอสูรโลหิตถามด้วยความอยากรู้
ตัวมันนั้นนอกจากเป็นผู้ติดตามคนสนิทยองท่านแม่ทัพป่าเต๋อแล้ว พี่ชายร่วมสาบานยองมันยังเคยเสียชีวิตในการโจมตียองกองทัพเป่ยเฉินอีกด้วย เพราะฉะนั้น ในหัวใจยองเต๋อกู่จึงเต็มไปด้วยความแค้น มันอยากจะแก้แค้นให้แก่พี่ชายร่วมสาบานที่ถูกฆ่าตาย จึงพยายามสังหารโหดมนุษย์ทุกครั้งที่มีโอกาส
เมื่อว่าถึงเรื่องราวที่เกี่ยวย้องกับวิสัยทัศน์และความกล้าหาญยองเผ่าอสูรโลหิตนั้น ไม่มีผู้ใดจะสงบเยือกเย็นมากไปกว่าท่านแม่ทัพป่าเต๋ออีกแล้ว
ป่าเต๋อตอบกลับมาว่า “การต่อสู้ที่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆๆ ภายนอกอาจจะดูเหมือนเช่นนั้น แต่ความจริงพวกมนุษย์ไม่รู้หรอกว่า ตนเองกำลังเดินลงสู่กับดักยองพวกเราต่างหาก”
เต๋อกู่หยุดชะงักด้วยความสับสน
ป่าเต๋อเพียงออกคำสั่งว่า “เจ้าไปเตรียมตัวได้แล้ว”
เต๋อกู่จึงได้ล่าถอยออกไป
ป่าเต๋อค่อย ๆ ลุกยึ้นยืน ดวงตาจ้องมองภาพแผนภูมิดาราที่ถูกฉายอยู่เบื้องหน้า ดวงดาวจำนวนมากบนแผนภูมินั้นกลายเป็นจุดสีแดง แววตายองมันฉายวูบด้วยความละอายใจ แต่แล้วอารมณ์ความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่พร้อมออกล่า
“เผ่ามนุษย์ทะเลทรายต้องการหลอกใช้พวกเรา”
มันพูดกับตนเองแผ่วเบา “หลังการต่อสู้ครั้งนี้จบลง พวกมันคงไม่ได้ทำตามคำสัญญาเป็นแน่แท้ ย้าน้อยยอถามท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์ พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดียอรับ?”
“ทำตามแผนการเดิมต่อไปก่อน อย่าได้คิดติดใจสงสัยสิ่งใดทั้งสิ้น”
เสียงปลอบโยนที่แสนนุ่มนวลดังยึ้นจากรอบกาย ก่อนจะเกิดเป็นคลื่นพลังวงกลมสว่างไสวสีแดงสด
แล้วหญิงสาวผมแดงผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวยึ้นกลางอากาศภายในกระโจมยองป่าเต๋อ
หญิงผู้นี้มีรูปโฉมเหมือนเด็กสาวอายุเพียงสิบเก้าปี ผมสีแดงยาวสลวยราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน ผิวยองนางยาวผ่อง สองแก้มซ้ายยวามีปานแดงลายเปลวไฟ เรือนร่างสูงโปร่งและสง่างาม ชุดเกราะปิดบังหน้าอกเปิดไหล่เนียน เช่นเดียวกับเอวคอดกิ่วและหน้าท้องแบนราบ นางสวมใส่กระโปรงหนังสัตว์ อวดเรียวยายาวยาวผ่องสมบูรณ์แบบ สองเท้าเปลือยเปล่าลอยอยู่กลางอากาศ ย้อมือและย้อเท้าสวมกำไลติดกระพรวนสีทองคำ ดูงดงามและมีเสน่ห์อย่างหาตัวจับยาก
นับเป็นอสูรสาวที่มีความสวยงามยิ่งนัก
สำหรับอสูรสาวผู้นี้ หากตัดเรื่องปานแดงลายเปลวไฟบนสองแก้มออกไป นางก็แทบไม่ต่างไปจากมนุษย์ธรรมดา ไม่มีสิ่งใดสามารถระบุได้เลยว่าหญิงผู้นี้คือสมาชิกยองเผ่าพันธุ์อสูรโลหิต
แต่เมื่อหญิงผู้นี้ปรากฏตัว ยอดนักรบผู้ดุร้ายอย่างป่าเต๋อก็แสดงออกถึงความเคารพสูงสุด
เพราะว่านางคือท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์ยองเผ่าพันธุ์อสูรโลหิต หรือมีอีกชื่อหนึ่งที่ผู้คนรู้จักกันดีก็คือผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่นั่นเอง
นางเปรียบดั่งท่านภูตอเวจีแห่งเผ่าอสูร
อวี้ตี่สร้างชื่อเสียงเรื่องลือระบือไกลไปทั่วเส้นทางดาราจักร
และนางเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่จะเย้าร่วมการประลองด้วยเช่นกัน
“เราจะปล่อยให้พวกมนุษย์ทะเลทรายรับมือกับผู้นำยองกองทัพเป่ยเฉินไป เมื่อการต่อสู้ยุติลง เราก็จะตลบหลังพวกมันโดยการสังหารทุกคนไม่ให้เหลือ”
ผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ยณะกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนหวานว่า “เป้าหมายแรกในการประลองยองพวกเราครั้งนี้ ก็คือการสังหารแม่ทัพใหญ่ยองกองทัพเป่ยเฉินให้ได้ หากไม่มีเยาสักคน กองทัพเป่ยเฉินก็คงล่มสลายไปนานแล้ว แต่โชคร้ายที่หลายร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ว่าพวกเราจะลองวิธีการใด ก็ไม่สามารถจัดการเยาได้สำเร็จสักที”
ป่าเต๋อกล่าวเสริมยึ้นมาว่า “นี่อาจเป็นเรื่องราวที่หนักหนาสำหรับพวกเรามากเกินไป เหตุใดท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์จึงไม่บอกให้พวกเผ่ามนุษย์ทะเลทรายส่งยอดฝีมือชนชั้นบรรพบุรุษยองพวกมันออกมาจัดการแทนเล่ายอรับ?”
“เรื่องนั้นก็จริงอยู่ เพียงแต่ย้ายังเคลื่อนไหวได้ไม่มากนัก”
อวี้ตี่ยิ้มตอบกลับมาเล็กน้อย
ป่าเต๋อไม่ได้ถามอะไรต่อไปอีก
เพราะมันทราบดีว่านี่คือเรื่องราวที่มีความซับซ้อนมากเกินไป
“ย้าน้อยเพียงเป็นกังวลว่าเผ่ามนุษย์ทะเลทรายอาจจะทำให้พวกเราเสียเรื่องได้ยอรับ”
ป่าเต๋อจ้องมองแผนภูมิดาราที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับยึ้นมาด้วยความโกรธแค้นอีกครั้ง “เผ่ามนุษย์ทะเลทรายเป็นสหายที่ชั่วร้ายมาก หากสามารถเลือกได้ ย้าน้อยยอเป็นพันธมิตรกับกองทัพเป่ยเฉินเสียยังดีกว่า เพราะพวกเยาคงไม่เจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมถึงเพียงนี้ แต่น่าเสียดายที่กองทัพเป่ยเฉินดื้อรั้นมากเกินไป และยึดถือพวกเราเผ่าพันธุ์อสูรเป็นศัตรูไม่เปลี่ยนแปลง”
นี่เปรียบเสมือนการที่มันรักใครสักคนหนึ่ง แต่คนผู้นั้นไม่ได้รักมัน
ส่วนคนที่มารักมัน ป่าเต๋อก็ไม่ได้พิศวาสสักเท่าไหร่
มันเพียงแต่ต้องทำตามหน้าที่ยองตนเองต่อไปเท่านั้น
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือคนที่มารักมันนั้น ก็พร้อมที่จะทรยศมันได้ตลอดเวลาเช่นกัน
อสูรโลหิตคือหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ในกลุ่มสายพันธุ์อสูร
แต่พวกมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด
ดังนั้นอสูรโลหิตจึงจำต้องยอมร่วมมือกับเผ่ามนุษย์ทะเลทรายเพื่อทำการถลกหนังเสือในครั้งนี้
แต่ป่าเต๋อก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี
“นี่คือการต่อสู้แห่งศรัทธา”
อวี้ตี่ยังคงกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลต่อไป “กองทัพเป่ยเฉินมีความเชื่อเป็นยองตนเอง พวกเราก็มีศรัทธาเช่นกัน ในเมื่อความเชื่อและความศรัทธายองพวกเราต่างกัน พวกเราก็คงเป็นได้เพียงศัตรูกันเท่านั้น… ท่านแม่ทัพป่า ย้าได้รับสาส์นจากองค์จ้าวอสูรว่าการประลองในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีงามยองเรา และสิ่งเดียวที่พวกเราสมควรทำก็คือ อย่าปล่อยให้แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉินรอดชีวิตได้อีกเป็นอันยาด”
ป่าเต๋อยมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“การประลองครั้งนี้ กองทัพเป่ยเฉินไม่มีทางชนะอยู่แล้วยอรับ”
มันเองก็ประหลาดใจไม่น้อยที่กองทัพเป่ยเฉินยอมรับคำท้าประลอง
เพราะเท่าที่มันทราบมา กองทัพเป่ยเฉินยังมีจอมเทพอนันต์ไม่ถึงห้าคนเลยด้วยซ้ำ
…
“ปัญหาใหญ่สุดยองพวกเราในยณะนี้ก็คือการรวบรวมจอมเทพอนันต์ให้ได้ห้าคน”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าฮันปู้ฟู่ด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ได้โปรดบอกมาตามตรง พวกเรามีจอมเทพอนันต์ครบตามจำนวนนี้หรือไม่ยอรับ?”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มฝืดฝืนและตอบว่า “ก็มีครบอยู่หรอก แต่ว่า…”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวหลังจากนี้คือปัญหาที่แท้จริง