เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1970 รับตำแหน่งแม่ทัพเงา
ตอนที่ 1,970 รับตำแหน่งแม่ทัพเงา
“กองทัพเป่ยเฉินมีจอมเทพอนันต์อยู่ด้วยกันเจ็ดคน หากเรานำห้าคนมาเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ ดินแดนที่จอมเทพอนันต์เหล่านั้นกำลังดูแลอยู่ก็จะขาดการป้องกัน และเผ่ามนุษย์ทะเลทรายก็อาจจะใช้โอกาสนี้บุกโจมตี ซึ่งทำให้พวกเราได้รับความเสียหายมากกว่าเดิม”
ฮันปู้ฟู่กล่าว
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจมากทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
กองทัพเป่ยเฉินมีจอมเทพอนันต์อยู่เพียงเจ็ดคนเท่านั้นเองหรือ?
ถือเป็นจำนวนที่น้อยนิดจนน่าตกตะลึง
แต่ก็เป็นสิ่งที่พอจะเข้าใจได้
ดูอย่างสำนักศึกษาฉิวจื่อนั่นปะไร ที่นั่นถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา แต่กลับมีผู้ยิ่งใหญ่อย่างกงซานอิ๋งเฉวี่ยนดูแลอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่จำนวนผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาลดน้อยลงเรื่อย ๆ
ดังนั้น การที่กองทัพเป่ยเฉินมีจอมเทพอนันต์อยู่เจ็ดคนก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว
หลินเป่ยเฉินพยายามตั้งสติและสอบถามว่า “พวกเราจะเริ่มการประลองเมื่อไหร่ขอรับ?”
ฮันปู้ฟู่นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ต้องใช้เวลาในการสร้างสังเวียนต่อสู้ประมาณยี่สิบวัน ดังนั้นนั่นหมายความว่าเรามีเวลาให้เตรียมตัวอยู่ประมาณยี่สิบวัน”
หลินเป่ยเฉินคิดคำนวณอยู่ในใจ
น่าจะเพียงพอ
หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอกตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ก็ไว้ใจข้าได้เลย”
ในอีกยี่สิบวัน ภารกิจความรุ่งเรืองของกองทัพเซียนกระบี่ Part 2 จากแอปพลิเคชัน Keep ก็น่าจะเสร็จสิ้นพอดี
เมื่อถึงตอนนั้น หลินเป่ยเฉินก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตจอมเทพจักราตอนปลาย
และเมื่อรวมเข้ากับโลหิตพิสุทธิ์ระดับจอมเทพอนันต์ที่มีอยู่ ประกอบกับอาวุธหนักต่าง ๆ ที่เป็นตัวช่วยสำคัญ…
หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองจะสามารถเข้าร่วมการประลองได้อย่างไม่มีปัญหา
หลังจากคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็กล่าวต่อไป “ความจริงนอกจากข้าจะเข้าร่วมการประลองแล้ว ผู้ติดตามของข้าอีกคนหนึ่งก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกันขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหมายถึงร่างแยกของราชาหินดำ
เพียงเท่านี้ ฝ่ายกองทัพเป่ยเฉินก็มีตัวแทนเข้าร่วมการประลองถึงสองคนแล้ว
และที่สำคัญก็คือ ร่างแยกของราชาหินดำมีขั้นพลังไม่ต่ำต้อย
เมื่อถึงเวลา หลินเป่ยเฉินก็จะส่งร่างแยกของราชาหินดำออกไปต่อสู้ ส่วนจะแพ้หรือชนะ หลินเป่ยเฉินยังคงไม่มั่นใจนัก
ฮันปู้ฟู่ผงกศีรษะและระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความโล่งใจ “ฮ่า ๆๆ งั้นข้าก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ฮันปู้ฟู่เชื่อมั่นในตัวของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากหยุดชะงักเล็กน้อย ชายวัยกลางคนก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “จริงด้วยสิ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาเจ้าอีกสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรหรือขอรับ?”
ฮันปู้ฟู่จ้องมองเด็กหนุ่มและกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ตอนแรกที่ก่อตั้งกองทัพเป่ยเฉินขึ้นมานั้น ข้าก่อตั้งขึ้นมาด้วยเหตุผลส่วนตัวเป็นหลัก การผดุงความยุติธรรมเป็นรอง แต่บัดนี้ กองทัพของข้าต้องกำหนดความเป็นตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์… ที่ข้าตั้งชื่อกองทัพตามชื่อของเจ้านั้น ก็เพราะว่าข้าอยากจะทำอย่างที่เจ้าทำได้ในนครเจาฮุย และหลังจากที่ข้าต้องใช้ความพยายามอยู่หลายร้อยปี ในที่สุด ข้าก็คิดว่าตนเองสามารถทำได้สำเร็จแล้ว บัดนี้ เจ้ากับข้าได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ข้าก็สามารถเบาใจได้ยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจอยากจะออกมายืนหยัดที่แนวหน้าพร้อมกับข้าบ้างหรือไม่?”
“ออกมายืนหยัดที่แนวหน้าหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจความหมายในคำพูดของชายวัยกลางคนรุ่นพี่ขึ้นมาทันที “ศิษย์พี่ฮัน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่? ท่านคงล้อเล่นแล้วกระมัง”
ฮันปู้ฟู่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “เจ้าต้องออกมายืนหยัดที่แนวหน้า นับจากนี้ไป กองทัพเป่ยเฉินจะมีแม่ทัพใหญ่สองคนและแม่ทัพใหญ่ทั้งสองคนนั้นก็คือเจ้ากับข้า เมื่อมีเจ้าคอยนำทางผู้คน อนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ย่อมสว่างไสวอย่างแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินยิ่งรับฟังก็ยิ่งตกตะลึง
ก่อนจะรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ท่านอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล ผู้อื่นไม่เข้าใจข้ายังไม่เป็นไร แต่นี่ท่านก็ไม่เข้าใจข้าด้วยหรือ? ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนเช่นนั้นจริง ๆ
การที่เขาจะรับตำแหน่งหน้าที่ใดสักตำแหน่ง ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าไม่มีทางเลือกแล้วต่างหาก
“ข้าพูดจริงนะ”
ฮันปู้ฟู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินแทบพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว “ท่านอย่าได้กล่าวเหลวไหล ข้ารู้ว่าท่านกำลังหยอกข้าอยู่”
ฮันปู้ฟู่กลายเป็นฝ่ายที่พูดอะไรไม่ออกบ้างแล้วเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “อีกอย่าง ข้าไม่ใช่คนที่จะสามารถควบคุมผู้ใดได้หรอกขอรับ ขนาดกองทัพเซียนกระบี่ที่ข้าก่อตั้งในอาณาจักรซือเว่ย ข้ายังไม่มีเวลากลับไปดูแลเลย… แล้วข้าจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลกองทัพของศิษย์พี่ได้อีก”
ฮันปู้ฟู่ยกมือกุมศีรษะ
เขาคิดอยู่แล้วเชียวว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องปฏิเสธ
คนอื่นอยากได้ตำแหน่งนี้กันแทบตาย
แต่สำหรับหลินเป่ยเฉิน ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉินหาได้มีค่าอันใดไม่
บางทีนี่อาจเป็นเพราะหลินเป่ยเฉินมีจิตใจที่ใสสะอาดมากเกินไป
ฮันปู้ฟู่ไม่เคยพบเจอกับผู้ใดที่ไร้ความกระหายในอำนาจอย่างหลินเป่ยเฉินมาก่อน
และนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในเสน่ห์เฉพาะตัวของเด็กหนุ่มด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “ศิษย์พี่ฮัน หน้าที่ดูแลกองทัพเป่ยเฉินเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว อย่าได้คิดเกียจคร้านเช่นนี้สิ”
ฮันปู้ฟู่ตอบกลับไปว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้พวกเราร่วมมือกันต่อสู้กับความมืดมิดได้อย่างราบรื่น”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่ไว้ใจ “ท่านคงไม่ได้มาฝากความหวังเอาไว้ที่ข้าอีกนะ”
ฮันปู้ฟู่หัวเราะในลำคอเล็กน้อย “เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย เจ้าจะรับตำแหน่งเป็นแม่ทัพเงาของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะมีสิทธิ์ควบคุมกำลังพลของกองทัพเป่ยเฉินทั้งหมด เพียงแต่ไม่ต้องออกหน้าเท่านั้น ไม่ทราบว่าข้อเสนอนี้เป็นอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน “ฟังดูน่าสนใจดีขอรับ”
ตราบใดที่ไม่ต้องมาจัดการเรื่องราวในกองทัพ หรือรับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตราบใดที่ยังสามารถดื่มกินสุราเฮฮาได้ตามปกติ มิหนำซ้ำ ยังมีกองกำลังทหารให้ใช้งานได้อย่างมหาศาลทุกเมื่อ…
นี่ก็นับว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“งั้นข้าคงต้องขอรับตำแหน่งนี้เอาไว้”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองเข้าไปในดวงตาของศิษย์พี่ฮันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและสุดท้ายก็พยักหน้าตอบตกลง
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกันอีกเล็กน้อย พวกเขาก็ตัดสินใจแยกย้ายกันไปจัดการธุระของตนเอง