เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1973 เกียรติยศที่แท้จริง
ตอนที่ 1,973 เกียรติยศที่แท้จริง
หลินเป่ยเฉินกลับไปที่แผ่นดินตงเต้าและแปลงโฉมตนเองเป็นหญิงวัยกลางคนด้วยแอปเมจิก คาเมร่า ก่อนแฝงตัวเข้าไปในวิหารเซียนกระบี่เพื่อช่วยเหลือบรรดานักบวชทำคลอดหญิงสาว… หลินเป่ยเฉินใช้ระยะเวลาสองวันเต็ม ๆ ทำกิจกรรมเหล่านี้เพียงอย่างเดียว
จนกระทั่งเขาสามารถทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในโลกแห่งวรยุทธ์ มีวิธีการรักษาผู้คนหลากหลายรูปแบบและทุกวิธีมักจะมีประสิทธิภาพดีกว่าวิธีการสมัยใหม่จากโลกมนุษย์ใบเก่าของหลินเป่ยเฉินอย่างไม่น่าเชื่อ
“เฮ้อ…”
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถผ่าคลอดผู้คนได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สาบานตามตรงเลยว่า ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือชีวิตก่อนหน้า หลินเป่ยเฉินไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะต้องมาฝึกฝนการผ่าคลอดเช่นนี้
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนเฉียนเจินในทุก ๆ วัน เขาพานางไปควบคุมการออกกำลังกายตามตารางฝึกของแอปพลิเคชัน Keep และคอยกำชับให้นางทานอาหารบำรุงครรภ์อยู่เสมอ
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็จะปลดปล่อยพลังปราณเข้าไปในร่างกายของนางเป็นระยะเพื่อสังเกตตัวอ่อนในครรภ์
และสิ่งที่ทำให้เขาดีใจก็คือทารกในครรภ์ไม่ได้ดูดซับพลังมารดาในระดับเดียวกับก่อนหน้านี้อีกแล้ว ดูเหมือนทารกจะรู้ว่าตนเองดูดซับพลังจากมารดามามากเกินไป เมื่อรู้สึกหิว ทารกในครรภ์ก็จะดูดซับพลังเพียงเล็กน้อยเพื่อให้พอประคองชีพต่อไปได้เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ อาการโดยรวมของเฉียนเจินจึงดีขึ้นเรื่อย ๆ
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ถึงกำหนดการประลองแล้ว
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าตนเองต้องออกเดินทางไปยังอาณาจักรเหนียนเซียงเพื่อเข้าร่วมการประลอง
กองทัพเป่ยเฉินต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น
เพราะหากพวกเขาพ่ายแพ้ กองทัพอสูรและเผ่ามนุษย์ทะเลทรายก็จะได้ยึดครองจุดทิ้งสมองของอาณาจักรเหนียนเซียง นั่นหมายความว่าพวกมันจะสามารถยกกำลังพลบุกโจมตีอาณาจักรเล่ยฉื่อและอาณาจักรเทียนอวี่ได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงบรรดาอาณาจักรข้างเคียงก็จะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งอาณาจักรซือเว่ยก็เช่นกัน
นี่เรียกว่าทุกฝ่ายจะได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า
“เจ้าต้องดูแลเฉียนเจินให้ดี”
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปลูบศีรษะเฉียนเหมยและกล่าวว่า “เจ้าอยากจะได้รับความเคารพจากผู้คนไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยรับคำด้วยดวงตาเป็นประกาย จากนั้นจึงกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น “นายท่านจะพาข้าน้อยไปเข้าร่วมสงครามด้วยหรือไม่?”
“ไม่มีทางเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะ “เจ้าต้องอยู่ที่นี่”
“ว่าไงนะ?”
เฉียนเหมยแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินเกี่ยวปอยผมของนางไปทัดไว้หลังใบหูและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เกียรติยศของผู้กล้าหาญที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ว่าเจ้าสามารถสังหารศัตรูได้มากเพียงใด แต่อยู่ที่ว่าเจ้าสามารถปกป้องสิ่งที่เจ้ารักได้มากเพียงใดต่างหาก”
เฉียนเหมยถึงกับชะงักไปทันที
หลินเป่ยเฉินตบไหล่นางเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น “ครั้งนี้ ข้าจะให้เจ้าอยู่กับเฉียนเจิน เจ้าต้องทำตัวให้สมกับเป็นแม่ทัพที่แท้จริง เจ้าต้องปกป้องนาง เจ้าต้องคุ้มครองนาง อย่าให้นางเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ต้องคุ้มครองนางให้ได้ ไม่ทราบว่าเจ้าสามารถทำได้หรือไม่?”
“ข้าทำได้เจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยพลันรู้สึกได้ถึงภาระที่หนักอึ้งบนสองบ่า แต่นางก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย
“นายท่าน ต่อให้ต้องสละชีวิตของตนเอง ข้าน้อยก็จะต้องปกป้องท่านพี่เฉียนเจินให้ได้” เฉียนเหมยยืดอกขึ้นกล่าวเสียงดังฟังชัด “นายท่านไว้ใจข้าน้อยได้เลย”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
นี่เฉียนเหมยอยู่ใกล้กับฮันปู้ฮุยมากเกินไปใช่หรือไม่?
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เปิดประตูมิติเดินทางออกไปจากแผ่นดินตงเต้าทันที
…
อาณาจักรเหนียนเซียง
สังเวียนการประลองสำหรับจอมเทพอนันต์
การประลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เรือเหาะนับหมื่นลำก่อตั้งค่ายกลลอยอยู่ล้อมรอบสังเวียนประลอง
บรรดาผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้วนมาร่วมรับชมการประลองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาและความคึกคักสนุกสนาน
หลินเป่ยเฉินและฮันปู้ฟู่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันบนเรือธงของกองทัพเป่ยเฉิน
แต่หลินเป่ยเฉินสวมหน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้า ไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
หน้ากากเงินที่เขาสวมใส่อยู่นี้ถูกเรียกว่าหน้ากากไร้หน้า เป็นวัตถุเล่นแร่แปรธาตุระดับ 65 ซึ่งเป็นสมบัติวิเศษที่ฮันปู้ฟู่ได้มาจากวิหารแห่งกาลเวลา
คุณสมบัติของหน้ากากไร้หน้าก็คือเมื่อสวมใส่แล้วจะไม่มีผู้ใดมองเห็นหูตาจมูกปากรวมไปถึงลำคอของผู้สวมใส่ได้อีก
แต่ว่าคุณสมบัติของหน้ากากไร้หน้าไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านี้ นอกจากจะช่วยอำพรางตัวตนที่แท้จริงได้แล้ว หน้ากากเงินวิเศษยังช่วยเพิ่มพลังให้แก่ผู้สวมใส่อีกด้วย
และในเวลาเดียวกันนี้ มันก็ยังช่วยปกปิดพลังปราณ ไม่มีผู้ใดสามารถตรวจสอบได้เลยว่าผู้สวมใส่หน้ากากมีขั้นพลังอยู่ในระดับใด
ส่วนในเรื่องของการปกปิดใบหน้า ผู้คนจะมองเห็นเป็นเพียงหน้ากากราบเรียบ ไม่มีหูตาจมูกปาก ดูแปลกประหลาดและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
ต่อให้เป็นสมาชิกระดับสูงของกองทัพเป่ยเฉิน ก็ยังไม่รู้เลยว่าบุคคลที่สวมใส่หน้ากากผู้นี้เป็นผู้ใด
ทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นผู้ช่วยเหลือจากนอกกองทัพ
และ ณ ขณะนี้ ฮันปู้ฟู่ก็สวมใส่ชุดเกราะสีเงิน ซึ่งเป็นชุดเกราะสำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ บนศีรษะสวมใส่หมวกทองคำติดปีกขนนก แววตาหนักแน่นมุ่งมั่น ร่างกายสูงใหญ่ยืนตระหง่านไม่ต่างจากเสาหลักค้ำฟ้า สีหน้าปราศจากความโกรธแค้นเกลียดชัง มีเพียงความสงบเยือกเย็น ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นต่างก็รู้สึกยำเกรงและอยากจะเคารพเทิดทูน
หากหลินเป่ยเฉินเปรียบเสมือนความลึกลับของแสงจันทร์ ฮันปู้ฟู่ก็เปรียบเสมือนแสงสว่างของดวงตะวันอันร้อนแรง
เมื่อพวกเขายืนเคียงข้างกันก็ก่อให้เกิดเป็นบรรยากาศที่น่าเกรงขามขึ้นมาอย่างประหลาด
ใช่แล้ว
ครั้งนี้ ฮันปู้ฟู่จะเข้าร่วมการประลองด้วย
เขาคือหนึ่งในตัวแทนจากกองทัพเป่ยเฉิน
ส่วนตัวแทนอีกสามคนที่จะเข้าร่วมการประลองนั้นก็ได้มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน
เพียงแต่พวกเขายังไม่แสดงตัวออกมา
และฮันปู้ฟู่ก็ไม่ได้แนะนำให้หลินเป่ยเฉินรู้จักผู้ใดทั้งสิ้น
บางครั้งยอดฝีมือชนชั้นจอมเทพอนันต์ก็ชอบอยู่ในเงามืด ยินดีเป็นบุคคลปริศนา ซึ่งแตกต่างกับสมาชิกกองทัพเป่ยเฉินส่วนใหญ่ที่มักจะเปิดเผยหน้าตาและแสดงออกให้เห็นถึงความกล้าหาญของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร
บัดนี้ มีการเผยแพร่สัญญาณถ่ายทอดสดไปทั่วเส้นทางดาราจักรและด้านหนึ่งของสังเวียนประลองก็มีเผ่าพันธุ์อสูรโลหิตมารวมตัวกันมากมายจนบดบังแผ่นฟ้าเกือบหมดสิ้น
ในวันนี้ เผ่าพันธุ์อสูรโลหิตขนกองกำลังของตนเองมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นขุนพลอสูรระดับสูง
นี่ไม่ต่างจากการประกาศสงคราม
ส่วนเผ่ามนุษย์ทะเลทรายส่งตัวแทนมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ผู้คนจากเผ่ามนุษย์ทะเลทรายอยู่ปะปนกับกองทัพอสูรโลหิต
นอกจากนี้ ในค่ายกลเรือเหาะรอบสังเวียนประลองยังมีการก่อตั้งค่ายที่พักขึ้นเป็นการชั่วคราว เพื่อให้ผู้คนจากสำนักและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ สามารถรับชมการต่อสู้ได้อย่างใกล้ชิด
และสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาผู้คนมากที่สุดก็คือเรือเหาะอันเป็นที่พักของท่านผู้คุมสภาแห่งสภาศักดิ์สิทธิ์
ในฐานะเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเส้นทางดาราจักร แม้ว่าในระยะหลังเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเริ่มมีสัญญาณของความเสื่อมถอย แต่สภาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจ และผู้คุมสภาศักดิ์สิทธิ์ก็มีสถานะไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าพวกผู้นำของเผ่าพันธุ์อสูร…
นอกจากนี้ยังคงมีเรือเหาะของอสูรเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอสุรกายเขียว เผ่าอสูรเงา ไปจนถึงเผ่าอสูรยักษ์ ซึ่งแต่ละเผ่าพันธุ์ก็ส่งตัวแทนที่มีสถานะไม่ต่ำต้อยมารับชมการประลองทั้งสิ้น
แม้แต่อาณาจักรเกิงจินก็ส่งตัวแทนมาเช่นกัน
เช่นเดียวกับฟางซื่อหลี่ที่เป็นตัวแทนจากสำนักศึกษาฉิวจื่อ
บัดนี้ สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่บนหน้าจอถ่ายทอดสดขนาดใหญ่ที่ถูกก่อสร้างขึ้นบนผืนฟ้า พวกเขาต่างก็รอคอยให้การประลองเริ่มขึ้นอย่างใจจดใจจ่อยิ่งนัก