เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1975 เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ตอนที่ 1,975 เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว
พญาเหยี่ยวอสูรหยุดชะงักด้วยความงุนงง ก่อนใบหน้าจะบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
นานมากแล้วที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าดูถูกเขาเช่นนี้มาก่อน
แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉินผู้นี้ ที่ผ่านมาเอาแต่ซ่อนตัวอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่เคยแสดงฝีมือการต่อสู้ให้ผู้ใดได้ประจักษ์แก่สายตามาก่อน แล้วเขาคิดว่าตนเองสูงส่งมาจากไหนกัน?
“ฮ่า ๆๆๆ…”
พญาเหยี่ยวอสูรระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความบ้าคลั่ง หลังจากนั้น คลื่นพลังที่เป็นเปลวไฟก็แผ่กระจายออกมาจากรอบกายอย่างรุนแรง
ชุดเกราะทองคำเป็นประกายสว่างไสว
และเมื่อปีกทั้งสี่ข้างกระพือพัด สังเวียนประลองก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นทะเลเพลิงไปในพริบตา
นี่คือความน่าเกรงขามที่แท้จริงของผู้อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์
คลื่นพลังเปลวไฟนี้รุนแรงมากพอที่จะสังหารผู้คนที่อยู่ในขั้นจอมเทพจักรพรรดิ
อุกกาบาตที่ลอยละล่องอยู่บนแผ่นฟ้าถูกความร้อนแผดเผาจนสลายหายไปในอากาศ
แม้ว่าบรรดาผู้ชมที่อยู่รอบสังเวียนประลองจะได้รับการป้องกันจากม่านพลังอย่างแน่นหนา แต่พวกเขาก็ยังมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ และรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่แผ่มากระทบผิวกาย ราวกับว่าตนเองจะต้องถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านไปด้วยเช่นกัน
น่าหวาดกลัว
ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินของหลินเป่ยเฉินก็แสดงออกถึงความตกตะลึง
การระเบิดพลังของพญาเหยี่ยวอสูรมีความน่ากลัวมากกว่ามือกระบี่เมินฟ้าหลายเท่า
แล้วศิษย์พี่ฮันจะรับมือได้หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่สังเวียนประลองด้วยดวงตาเบิกกว้าง
…
“จงมอดไหม้ไปซะ!”
พญาเหยี่ยวอสูรกระพือปีกด้วยความอำมหิต
แล้วเปลวไฟเหล่านั้นก็ลุกโชนสว่างไสวมากกว่าเดิม มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนรุนแรง แล้วร่างของฮันปู้ฟู่ก็ถูกเปลวไฟพิฆาตกลืนกินโดยสมบูรณ์
ทว่าท่านแม่ทัพใหญ่ยังคงยืนนิ่ง
ทันใดนั้น เปลวไฟที่กลืนกินร่างของฮันปู้ฟู่เช่นเดียวกับเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่ทั่วสังเวียนประลองก็ดับพรึ่บลงทันที
“ตายซะเถอะ!”
พญาเหยี่ยวอสูรระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น เมื่อยกมือโบกสะบัด เปลวไฟที่ลุกโชนออกมาจากปีกบนแผ่นหลังก็กลายเป็นกระบี่เพลิงจำนวนมากก็พุ่งออกไปข้างหน้า
กระบี่เพลิงเหล่านั้นบรรจุด้วยพลังทำลายล้างสูงสุด
การโจมตีด้วยกระบี่เพลิงครั้งนี้แทบจะทำแผ่นฟ้าถูกผ่าออกเป็นสองส่วน
แต่ท่านแม่ทัพใหญ่วัยกลางคนยังคงยืนนิ่ง
กระบี่เพลิงเหล่านั้นสามารถเข้าใกล้เขาได้ไม่เกินระยะร้อยวา หลังจากนั้น พวกมันก็สลายหายวับไปกลางอากาศ
เสมือนกับไม่เคยมีการดำรงอยู่มาก่อน
“นี่มันอะไรกัน?”
พญาเหยี่ยวอสูรเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
นี่เป็นเคล็ดวิชาใดกันแน่?
สามารถสลายการโจมตีได้ทุกรูปแบบกลางอากาศเชียวหรือ?
นับว่าไม่เลวเลยสำหรับฮันปู้ฟู่ เผ่ามนุษย์ทะเลทรายไม่เคยทราบข้อมูลเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อน
ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เข้าใจว่าฮันปู้ฟู่มีความแข็งแกร่งเพียงใด
การได้ประลองกับฮันปู้ฟู่ในครั้งนี้ แม้จะสร้างความตกตะลึงให้แก่พญาเหยี่ยวอสูรไม่น้อย… แต่นี่นับเป็นประโยชน์ต่อเผ่าของมนุษย์ทะเลทรายอย่างสูง เพราะพวกเขาได้รับทราบข้อมูลที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
“เปลวเพลิงผลาญวิญญาณ!” พญาเหยี่ยวอสูรระเบิดเสียงคำรามแหบต่ำ ชุดเกราะทองคำที่สวมใส่บนร่างกายระเบิดกระจาย จนเผยให้เห็นถึงร่างกายที่แท้จริงซึ่งซ่อนเร้นอยู่ด้านใน
แม้ว่าเขาจะเกิดในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ แต่ร่างกายของพญาเหยี่ยวอสูรก็มีความแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป แม้รูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะเหมือนมนุษย์ทุกประการ แต่ผิวหนังของพญาเหยี่ยวอสูรกลับเต็มไปด้วยขนนกดูน่าขนลุก
และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มารดาทอดทิ้งเขา
เพราะมีร่างกายเช่นนี้ พญาเหยี่ยวอสูรจึงได้รับความเกลียดชังมาตั้งแต่จำความได้
พลังปราณแผ่กระจาย
ขนนกทุกเส้นกลายเป็นขนนกติดไฟ
พลังทำลายล้างกำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของพญาเหยี่ยวอสูร หลังจากนั้น ศีรษะของเขาก็ถูกเปลวไฟกลืนกินจนมีสภาพกลายเป็นก้อนไฟสว่างไสวโชติช่วง
แล้วร่างกายก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้น
พญาเหยี่ยวอสูรลงมือโจมตีฮันปู้ฟู่อีกครั้ง
และครั้งนี้ ฮันปู้ฟู่ก็ลงมือตอบโต้ในที่สุด
ภายใต้การเฝ้ามองของสายตานับไม่ถ้วน ท่านแม่ทัพใหญ่วัยกลางคนเพียงยกมือโบกสะบัดอย่างแผ่วเบาเท่านั้น
แล้วมวลอากาศก็เกิดการพลิ้วไหวเหมือนผิวน้ำที่เงียบสงบถูกก่อกวนให้เกิดกระแสคลื่น
คลื่นพลังกึ่งโปร่งแสงพวยพุ่งออกมา
และคลื่นพลังเหล่านั้นก็ห่อหุ้มร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ที่กำลังลุกเป็นไฟของพญาเหยี่ยวอสูรตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
คลื่นพลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรง
แล้วร่างของพญาเหยี่ยวอสูรก็ย่อขนาดกลับมาอยู่ในสัดส่วนปกติอีกครั้ง
เขาลอยกระเด็นไปด้านหลังอย่างไม่อาจควบคุมได้
พญาเหยี่ยวอสูรตกตะลึงเมื่อพบว่าพลังทำลายล้างของตนเองถูกสลายหายไปหมดสิ้น
กระบวนท่าเดียว!
นี่เป็นเพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ฮันปู้ฟู่ก็สามารถสลายการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของยอดฝีมือระดับจอมเทพอนันต์ได้แล้วหรือ?
ทั้ง ๆ ที่ฮันปู้ฟู่ยังไม่ได้ระเบิดพลังทำลายล้างออกมาด้วยซ้ำ!
ทั้ง ๆ ที่ฮันปู้ฟู่ยังไม่ได้แสดงท่าทีเอาจริงเลยด้วยซ้ำ!!
ทั้ง ๆ ที่นี่คงเป็นกระบวนท่าพื้นฐานของฮันปู้ฟู่ด้วยซ้ำ!!!
ทั้ง ๆ ที่นี่เป็นการโบกสะบัดฝ่ามือเพียงแผ่วเบาด้วยซ้ำ!!!!!!
แต่พญาเหยี่ยวอสูรกลับไม่สามารถต้านทานได้เลย
เขาถูกคลื่นพลังอัดกระแทกจนลอยกระเด็นออกไปในอากาศอย่างไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งสิ้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พญาเหยี่ยวอสูรเป็นถึงจอมเทพอนันต์ระดับ 6 ไม่ทราบเลยว่าเคยผ่านประสบการณ์สู้รบมามากมายเพียงใด แต่บัดนี้ ในใจของเขากลับมีเพียงเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด
แต่ด้วยความที่มีประสบการณ์สู้รบโชกโชน พญาเหยี่ยวอสูรจึงรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามหาเหตุผลอีกแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้
ฮันปู้ฟู่ยังคงยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่ต่างจากภูเขาใหญ่ที่ไม่มีวันสั่นคลอน
ไม่ต่างจากเทพเจ้าที่ดูแลทั่วทั้งจักรวาล
ผมสีดำดกหนาปลิวไสว ชุดเกราะสีเงินเป็นประกายระยิบระยับ
“เจ้าแพ้แล้ว”
ฮันปู้ฟู่กล่าวออกมาแผ่วเบา
“แพ้อย่างนั้นหรือ?”
พญาเหยี่ยวอสูรแลบลิ้นสองแฉกเลียริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มเหยียดหยาม “การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เจ้าเพียงเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็กน้อย เพราะว่าข้ายังไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาต่างหาก...”
“เจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
ฮันปู้ฟู่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบและเยือกเย็น
เมื่อพญาเหยี่ยวอสูรได้ยินเช่นนั้นก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ช่างน่าขันเสียจริง อ้อ จริงด้วยสิ ข้าจำได้แล้วเจ้าบอกว่าจะพิพากษาข้าในกระบวนท่าเดียว เมื่อสักครู่ เจ้าโจมตีออกมาแล้ว แต่แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉินก็ยังสังหารข้าไม่สำเร็จ ยังจะมีสิ่งใดน่าตลกขบขันไปมากกว่านี้อีก ข้าจะทำให้เจ้ารู้เองว่าเมื่อข้าเริ่ม… เอ๊ะ?”
สีหน้าของพญาเหยี่ยวอสูรพลันแปรเปลี่ยนไป
ความพิศวงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เกิดอะไรขึ้น?”
พญาเหยี่ยวอสูรรู้สึกว่ามวลพลังในร่างกายของตนเองลดน้อยลง
ลดน้อยลงอย่างไม่อาจควบคุมได้
ขั้นพลังตกลง
ขั้นพลังตกลงอย่างบ้าคลั่ง
เพียงพริบตาเดียว พญาเหยี่ยวอสูรก็ตกจากขั้นจอมเทพอนันต์ระดับ 6 มาอยู่ที่จอมเทพอนันต์ระดับ 5 จอมเทพอนันต์ระดับ 4 จอมเทพอนันต์ระดับ 3…
ตกลงมาอยู่ในขั้นจอมเทพจักรา
และขั้นพลังก็ยังคงลดลงเรื่อย ๆ
“ข้า…”
ความตื่นกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ขนนกที่ปกคลุมร่างกายบัดนี้พวกมันกลายสภาพเป็นเพียงไรขนสีแดงก่อนจะหายไปจากผิวหนังหมดเกลี้ยง
พญาเหยี่ยวอสูรรู้สึกได้ว่าแขนของตนเองผอมบางลง
ร่างกายของเขาเตี้ยลง
ความคิดในหัวสับสนวุ่นวาย
เพียงพริบตาเดียว พญาเหยี่ยวอสูรก็กลายร่างเป็นเด็กน้อยวัยสี่ขวบ
และร่างกายก็ยังคงย่อส่วนลงเรื่อย ๆ
สุดท้าย พญาเหยี่ยวอสูรก็สูญสลายหายไปกลางอากาศ ไม่เหลือพลังชีวิต ไม่มีพลังวิญญาณ ทุกอย่างดับสิ้นลงเหมือนโลกนี้ไม่เคยมีเขาคงอยู่มาก่อน
เมื่อร่างของพญาเหยี่ยวอสูรสลายหายไป
ฮันปู้ฟู่ก็หมุนตัวเดินออกมาจากสังเวียนประลอง
ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อเขากลับมาถึงเรือเหาะของตนเอง ผู้คนที่รับชมการประลองจึงคล้ายกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้าง
นี่มัน…
เพียงฝ่ามือเดียวของฮันปู้ฟู่ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายย่อส่วนลงจนกลายเป็นแค่สเปิร์มที่หลงทางจากรังไข่อย่างนั้นหรือ?
ให้ตายเถอะ…
นี่คือความร้ายกาจของการย้อนเวลาใช่หรือไม่?