เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1976 การประลองคู่ที่สอง
ตอนที่ 1,976 การประลองคู่ที่สอง
“นี่เป็น… เคล็ดวิชาชนิดใดกัน?”
“ย้อนเวลาได้อย่างนั้นหรือ?”
“ฝ่ามือนี้… คือความน่ากลัวของผู้ใช้สายเลือดผู้ท่องกาลเวลาใช่หรือไม่?”
“ข่าวลือที่บอกว่าคนผู้นี้เป็นผู้สืบสายเลือดจากหอคอยแห่งกาลเวลาท่าจะไม่ใช่เพียงข่าวลือเสียแล้ว”
“เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถเอาชนะจอมเทพอนันต์ระดับ 6 ได้อย่างง่ายดาย… ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ถ้าผู้สืบสายเลือดผู้ท่องกาลเวลาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดผู้ใช้สายเลือดผู้ท่องกาลเวลาจึงแทบจะสูญพันธุ์หมดแล้วเล่า?”
กลุ่มผู้คนที่รับชมการประลองอยู่โดยรอบต่างก็ตกตะลึงไปกับสิ่งที่เห็น
ไม่มีสิ่งใดน่าตกตะลึงไปมากกว่านี้อีกแล้ว
จอมเทพอนันต์ระดับ 6 ต้องพ่ายแพ้ไปในกระบวนท่าเดียว
หรือว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉินจะมีขั้นพลังสูงล้ำกว่าขอบเขตจอมเทพอนันต์?
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดกองทัพเป่ยเฉินจึงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
“ท่านแม่ทัพใหญ่ไร้เทียมทาน!”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ไร้เทียมทาน!”
“ท่านแม่ทัพใหญ่ไร้เทียมทาน!”
บรรดานายทหารจากกองทัพเป่ยเฉินที่อยู่บนเรือเหาะลำต่าง ๆ พร้อมใจกันประสานเสียงกึกก้อง
เสียงโห่ร้องของผู้คนไม่ต่างจากคลื่นสึนามิที่ซัดถล่มเข้าใส่ชายฝั่ง
สายตาของทุกคนยิ่งจ้องมองฮันปู้ฟู่ด้วยความเคารพและเทิดทูนมากยิ่งขึ้น
สมแล้วที่ท่านแม่ทัพใหญ่เปรียบเสมือนเทพเจ้าของพวกเขา
หลินเป่ยเฉินเองก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน
สหายในอดีต พี่น้องในปัจจุบัน มีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว
ฮันปู้ฟู่เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้หลินเป่ยเฉินได้รู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ในบางเรื่องราว หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองยังสู้ฮันปู้ฟู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ศิษย์พี่ฮันเป็นคนที่มีเสน่ห์อยู่ในตนเอง มีจิตใจมั่นคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ มิหนำซ้ำ ยังฝักใฝ่เรื่องการเรียนรู้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้รับความเคารพจากนายทหารเป็นจำนวนมาก
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนเองคงไม่สามารถทำได้ยอดเยี่ยมเท่าฮันปู้ฟู่
แต่ในระหว่างที่หลินเป่ยเฉินจ้องมองฮันปู้ฟู่ทิ้งตัวกลับมายืนอยู่บนเรือเหาะนั้น เขาก็อดเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า
หรือฮันปู้ฟู่จะเป็นพระเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้?
แม่ทัพใหญ่วัยกลางคนยกมือขึ้นโบกสะบัดเล็กน้อย
แล้วเสียงตะโกนโห่ร้องที่ดังกึกก้องก็เงียบหายไปในทันที
นายทหารทุกคนหยุดร้องตะโกน บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ในเวลาเดียวกันนี้
ณ กองเรือเหาะของกองทัพอสูรโลหิต
บรรดายอดฝีมือชนชั้นนำของเผ่าอสูรโลหิตเริ่มเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
ความแข็งแกร่งของแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉินทำให้เผ่าอสูรโลหิตเริ่มเกิดความตื่นกลัวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สัญชาตญาณร้องเตือนถึงอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ
และในกลุ่มยอดฝีมือเหล่านั้น ป่าเต๋อผู้มีร่างกายสูงใหญ่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองคำสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก มันจ้องมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ด้วยความเรียบเฉย แต่ในหัวใจก็เกิดความรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเช่นกัน
ป่าเต๋อยอมรับอย่างแท้จริงว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของฮันปู้ฟู่
ป่าเต๋อจึงรู้สึกอิจฉาริษยาไม่น้อย
เพราะดูเหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมียอดฝีมือมากมายเหลือเกิน
มิหนำซ้ำ ยังมีตัวช่วยที่เป็นประโยชน์สูงสุดอีกหลายอย่าง
อาทิ การฝึกวิชาในหอคอยแห่งกาลเวลานั่นปะไร
ในโลกนี้จะมีผู้คนสักกี่คนกันที่สามารถควบคุมการไหลเวียนของกาลเวลาได้เช่นเดียวกับฮันปู้ฟู่?
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ ต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ก็หนีไม่รอดอีกแล้ว
และผู้ท่องกาลเวลาก็เป็นเพียงหนึ่งในยี่สิบสี่สายเลือดหลักของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น
แล้วเผ่าพันธ์อสูรของมันมีอะไรบ้าง?
เผ่าพันธุ์อสูรมีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวและมีร่างกายแข็งแรงมากกว่าสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ๆ
แต่เผ่าพันธุ์อสูรยากจน โง่เขลา เวลากระทำสิ่งต่าง ๆ มักถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว บ่อยครั้งจึงพลาดท่าเสียทีให้แก่ศัตรูจนถึงขั้นเสียชีวิต
ป่าเต๋อหันกลับมาชำเลืองมองผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง
สตรีผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะยอดบุปผางามแห่งเผ่าอสูรโลหิต นางยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น ดวงตาถึงกับปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย แม้บรรยากาศจะตึงเครียด แต่ดูเหมือนอวี้ตี่จะยังคงมั่นใจว่าฝ่ายของตนเองจะได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด
ในเวลานี้ ป่าเต๋อจำได้ดีว่าตนเองวางแผนอะไรกับนางเอาไว้บ้าง
มันจึงหันหน้ามองไปที่ฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามเป็นที่นั่งของราชาหยกขาวกับมือกระบี่เมินฟ้าจากเผ่ามนุษย์ทะเลทราย ทั้งสองคนนั้นนั่งรับชมการประลองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น
ดูเหมือนตัวแทนจากเผ่ามนุษย์ทะเลทรายจะไม่ได้สนใจความตายของพญาเหยี่ยวอสูรเลยแม้แต่น้อย
“การประลองคู่ที่สอง ผู้ใดจะออกไปต่อสู้?”
ป่าเต๋อกล่าวถามออกมาช้า ๆ
ตลอดระยะเวลาการทำสงครามที่ผ่านมา ผู้คนล้วนทราบดีว่าเผ่าพันธุ์อสูรต้องทุ่มเททรัพยากรแทบทั้งหมด ต้องเสียชีวิตนักรบไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ผู้เป็นนายใหญ่ที่แท้จริงกลับเป็นเผ่ามนุษย์ทะเลทราย
แม้แต่การประลองในครั้งนี้ เผ่ามนุษย์ทะเลทรายก็ส่งตัวแทนมาเพียงสองคนเท่านั้น ป่าเต๋อจึงอยากจะให้ราชาหยกขาวหรือไม่ก็มือกระบี่เมินฟ้าคนใดคนหนึ่งออกไปแสดงฝีมือบ้าง
“การประลองคู่ที่สอง… ข้าจะออกไปเอง”
มือกระบี่เมินฟ้าค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า
เขาต้องอับอายขายหน้าจากความพ่ายแพ้ในสมรภูมิอาณาจักรเหนียนเซียง และต้องถูกท่านผู้นำแห่งเผ่ามนุษทะเลทรายตำหนิอย่างหนักหน่วง
เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นโอกาสเดียวที่มือกระบี่เมินฟ้าจะสามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้
ก่อนหน้านี้ เขาได้แอบสืบข้อมูลมาแล้วว่าผู้ที่ได้รับฉายาว่าเซียนกระบี่อวี้เหวินซิวเซียนนั้น เมื่อไม่กี่วันก่อน อวี้เหวินซิวเซียนได้ไปปรากฏตัวขึ้นบริเวณชายแดนของอาณาจักรเทียนอวี่ และนั่นจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าการประลองในครั้งนี้ ไม่มีอวี้เหวินซิวเซียนเข้าร่วมด้วยอย่างแน่นอน
แม้ว่าอวี้เหวินซิวเซียนจะพยายามปกปิดร่องรอยของตนเองด้วยการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นหลินเป่ยเฉิน แต่เขาคิดหรือว่าจะรอดพ้นหูตาของเผ่ามนุษย์ทะเลทรายไปได้?
บัดนี้ อวี้เหวินซิวเซียนยังคงซ่อนตัวอยู่ในอาณาจักรเทียนอวี่ ไม่มีทางกลับมาร่วมการประลองได้โดยเด็ดขาด
เมื่อไม่มีอวี้เหวินซิวเซียนคอยหลอกหลอนอีกต่อไป มือกระบี่เมินฟ้าก็ไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใดอีกแล้ว
ดังนั้น มือกระบี่เมินฟ้าจึงตัดสินใจลงสู่สังเวียนประลองเป็นคู่ที่สอง และเนื่องจากตัวแทนของกองทัพอสูรพ่ายแพ้ไปแล้วในการประลองคู่แรก ชัยชนะของเขาในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของตนเองกลับคืนมาแล้ว มือกระบี่เมินฟ้ายังช่วยกู้หน้าให้แก่เผ่าอสูรโลหิตได้อีกด้วย
นับว่าสวรรค์เมตตาเขาแล้วจริง ๆ
มือกระบี่เมินฟ้ากระโดดลงสู่สังเวียนประลองด้วยความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง