เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1987 การประลองคู่ที่สี่
ตอนที่ 1,987 การประลองคู่ที่สี่
ฮันปู้ฟู่สามารถตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล
เขาปฏิเสธทันที
ในเมื่อทุกอย่างได้รับการตัดสินชี้ขาดแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องประลองกันต่อไป
แต่ราชาหยกขาวกลับหัวเราะเยาะ และกล่าวว่า “หากท่านปฏิเสธคำขอนี้ พวกเราก็จะไม่ยอมรับผลแพ้ชนะในการประลองวันนี้เด็ดขาด ข้อตกลงคือเราต้องประลองกันห้าคู่ ก็ต้องประลองกันให้ครบห้าคู่”
บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ข้อตกลงก่อนเริ่มการประลองไม่มีการลงรายละเอียดมากนัก
ด้วยเหตุนี้ ราชาหยกขาวจึงเห็นช่องทางพลิกแพลงสถานการณ์
สุดท้าย ฮันปู้ฟู่ก็ต้องรับคำท้า
หลินเป่ยเฉินกำลังจะขอความช่วยเหลือจากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอีกครั้ง ก็มีสายเรียกเข้าทางแอปวีแชตพอดี
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโทรมาหาเขาพอดี
หลินเป่ยเฉินขยับไปยืนด้านหลังกลุ่มคนและซ่อนตัวอยู่ในมุมเงียบ ก่อนจะกดรับสาย
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเห็นชัยชนะที่สวยงามของข้าหรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข้าสงสัยว่าท่านแอบเล่นละครกับแม่ทัพอสูรโลหิตตัวนั้นแน่ ๆ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ “ให้ตายสิ เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็ต้องอุทานอยู่ในใจว่า ‘จริงเหรอวะเนี่ย?’
แต่เขาก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ นอกจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ท่านยังมีผู้ใดสามารถเข้าร่วมการประลองอีกหรือไม่?”
“ย่อมมีอยู่แล้ว แต่หากเจ้าพบเห็นคนผู้นี้ เจ้าคงอดใจไม่ไหวเป็นแน่”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบด้วยน้ำเสียงของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
หลินเป่ยเฉินรีบกล่าวทันทีว่า “จะเป็นใครก็ส่งมาเถอะ รับรองว่าข้าไม่ยุ่งกับพวกท่านหรอก”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจมากกว่าเดิม “ประเสริฐ ถือว่าเจ้ารับปากแล้วนะ… อย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น นางก็กดวางสาย
หลินเป่ยเฉินรับฟังเสียงสัญญาณขาดหายไปพร้อมกับเกิดคำถามใหญ่ขึ้นในใจ
เขารู้สึกว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังวางแผนอะไรอยู่
ทันใดนั้น บนสังเวียนประลอง ผู้เป็นตัวแทนจากฝ่ายกองทัพอสูรโลหิตได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว…
เป็นผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่
ยอดหญิงงามแห่งเผ่าอสูรโลหิตปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดเกราะสีแดงน่าเกรงขาม ชุดเกราะของนางนั้นเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียน เอวอรชร ต้นขาขาวผ่องและสองเท้าเปลือยเปล่าที่ลอยอยู่กลางอากาศ…
อสูรสาวผู้นี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วเส้นทางดาราจักรในฐานะของผู้ส่งสาส์นแห่งองค์ราชันอสูรเทพ
ไม่เคยมีอสูรตัวใดจะงดงามถึงเพียงนี้มาก่อน
โดยเฉพาะปานแดงรูปทรงเปลวเพลิงที่อยู่บนสองแก้มขาวผ่องของนาง นั่นคือสิ่งที่ทำให้อวี้ตี่ยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นอย่างร้ายกาจ
บัดนี้ ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่นาง
และเกือบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ตัวแทนจากกองทัพเป่ยเฉินก็ปรากฏตัวเช่นกัน
ผู้คนต้องตกใจอย่างต่อเนื่องเมื่อพบว่า ตัวแทนคนใหม่ยังคงเป็นจอมเทพอนันต์หญิง
นางสวมชุดกระโปรงสั้นสีฟ้าเข้ม หน้าอกอวบอิ่ม ผมยาวสยาย การแต่งกายงดงาม ชุดกระโปรงด้านหลังแหวกออกอวดแผ่นหลังขาวผ่องราวกับหยกแกะสลักและเมื่อปล่อยเส้นผมสีฟ้าลงมาปิดบัง นางก็ยิ่งดูมีความยั่วยวนใจมากยิ่งขึ้นหลายเท่า
หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างมองโฉมงามที่ปรากฏตัวบนสังเวียนประลองด้วยความตกตะลึง
ให้ตายเถอะ!
ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง!!
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนมีไฟลนก้นขึ้นมาทันที
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
นางคิดจะส่งสหายของตนเองออกไปตายอย่างนั้นหรือ?
ตัวแทนประลองคนที่สี่คือธิดาอู๋ไห่จือตี้
เจ้าของกิจการค้าอาหารทะเลที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า
หรือว่านางขาดทุนย่อยยับจนอยากฆ่าตัวตาย?
มิเช่นนั้น ธิดาอู๋ไห่จือตี้จะมาปรากฏตัวบนสังเวียนประลองเพื่ออะไร?
ธิดาอู๋ไห่จือตี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?
หรือมีอะไรที่เราไม่รู้หรือเปล่านะ?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ในใจ…
แต่สังเวียนประลองที่ถูกสร้างขึ้นด้วยการร่วมมือกันระหว่างกองทัพเป่ยเฉินกับเผ่าพันธุ์อสูรในครั้งนี้ มีการสร้างค่ายอาคมพิเศษที่ป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีขั้นพลังต่ำกว่าจอมเทพอนันต์ขึ้นสู่สังเวียนประลองได้เด็ดขาด
แต่ธิดาอู๋ไห่จือตี้สามารถปรากฏตัวบนสังเวียนประลองได้เช่นนี้…
หมายความว่านางมีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์แล้วหรือ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความพิศวง
เขารีบส่งข้อความไปถามเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผ่านทางแอปวีแชตว่า ‘ธิดาอู๋ไห่จือตี้อยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์แล้วหรือ?’
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งสัญลักษณ์อิโมจิตอบกลับมาว่า ‘┓(?′!`?)┏’
เมื่อถามย้ำอีกครั้ง นางก็ไม่ตอบอะไรอีก
หลินเป่ยเฉินจึงได้แต่กำชับให้ตนเองใจเย็น ๆ…
บางทีนางอาจจะไม่ได้มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพอนันต์ แต่ความแข็งแกร่งอาจจะเทียบเท่ากับจอมเทพอนันต์ก็เป็นได้ เหมือนเขาก่อนหน้านี้ไงล่ะ ประสบการณ์เดียวกันนี้ก็อาจเกิดขึ้นกับธิดาอู๋ไห่จือตี้เช่นกันกระมัง?
เพราะไม่มีทางที่ธิดาอู๋ไห่จือตี้จะเลื่อนขั้นพลังเข้าสู่ขอบเขตจอมเทพอนันต์ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
ความเร็วระดับนี้ มันยิ่งกว่าการเลื่อนขั้นพลังของหลินเป่ยเฉินเสียอีก
แต่ยังมีความน่าตกตะลึงรอคอยหลินเป่ยเฉินอยู่มากกว่านี้
เพราะในลมหายใจต่อมา บนสังเวียนประลอง จอมเทพอนันต์หญิงทั้งสองฝ่ายไม่เสียเวลาพูดคุยกันแม้แต่น้อย พวกนางเปิดฉากโจมตีกันทันที เมื่อธิดาอู๋ไห่จือตี้โบกสะบัดฝ่ามือวูบ ร่างของพวกนางทั้งสองคนก็หายวับไปกลางอากาศ
คนอื่นอาจจะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่านี่คือการเปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ประจำตัว
หลินเป่ยเฉินยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
อดีตแม่ค้าอาหารทะเลถึงกับมีอาณาเขตเป็นของตนเองแล้วหรือ?
ให้ตายเถอะ…
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทำอะไรกับสหายของนางกันแน่?
หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่น ความสงสัยปรากฏขึ้นในหัวใจ
เขารู้ดีว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมีพื้นเพไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงกับเคยส่งมอบคัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณให้เขามาแล้ว เพราะฉะนั้น การสอนให้ธิดาอู๋ไห่จือตี้เปิดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงอันใด
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นผู้ที่ช่วยเหลือให้ธิดาอู๋ไห่จือตี้บรรลุขอบเขตจอมเทพอนันต์ใช่หรือไม่?
แต่อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของธิดาอู๋ไห่จือตี้จะสามารถจัดการกับยอดฝีมือผู้มากประสบการณ์ได้จริง ๆ หรือ?
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังสะกิดตนเองอยู่
หลินเป่ยเฉินหันไปมองก็พบว่าเป็นฮันปู้ฟู่กำลังโน้มตัวเข้ามากระซิบว่า “แม่นางผู้นี้… เจ้าไปล่อลวงมาจากที่ใด?”
ศิษย์พี่ฮัน ท่านเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว!
หลินเป่ยเฉินได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจและตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “คนผู้นี้ข้าไม่ได้ล่อลวงนะขอรับ…”
“อ้อ”
ฮันปู้ฟู่หันหน้ากลับไปมองทางสังเวียนประลองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฮันซางเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ขณะหันมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินและถามว่า “แล้วคนก่อนหน้านี้เล่า?”
ในเมื่อไม่ได้ล่อลวงแม่นางผู้นี้ แต่แม่นางคนก่อนหน้านี้ เขาได้ล่อลวงมาหรือไม่?