เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1988 เฉียนเจินใกล้คลอดบุตร
ตอนที่ 1,988 เฉียนเจินใกล้คลอดบุตร
หลินเป่ยเฉินรับรู้ได้ถึงสายตาคาดคั้นของแม่ทัพหญิงฮันซางเซียง
แต่คราวนี้ เขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย
ในเมื่อนางปักใจเชื่อไปแล้ว
ยิ่งอธิบายมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฟังดูเหมือนคำแก้ตัวมากเท่านั้น
ณ เรือเหาะลำใหญ่ของกองทัพอสูร
ราชาหยกขาวเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาเบิกโต
เปิดใช้งานอาณาเขตเงาทมิฬอีกแล้วหรือ?
นี่เป็นการใช้งานค่ายอาคมในลักษณะเดียวกับที่ราชันจอมโจรเงาเคยใช้
เพียงแต่เปลี่ยนผู้ใช้งานมาเป็นจอมเทพอนันต์หญิงชุดสีฟ้าเท่านั้น
นี่หมายความว่ากองทัพเป่ยเฉินมีเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดกันเป็นวงกว้างใช่หรือไม่?
ราชาหยกขาวพลันนึกถึงสิ่งที่มือกระบี่เมินฟ้าเคยพูดเอาไว้
กองทัพเป่ยเฉินได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มยอดฝีมือจากยุคโบราณ ดังนั้นวิชาการใช้อาณาเขตเงาทมิฬเช่นนี้ก็คงเป็นผลมาจากความช่วยเหลือของบรรดายอดฝีมือจากยุคโบราณเช่นกัน
นับเป็นโชคดีของกองทัพเป่ยเฉินอย่างแท้จริง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องจบลงในวันนี้
แต่ถ้ามียอดฝีมือจากยุคโบราณปรากฏตัวเพิ่มขึ้นมาเล่า?
สีหน้าของราชาหยกขาวเย็นชาขึ้นมาในทันใด
นี่ทำให้บรรดาอสูรโลหิตที่ยืนอยู่รอบข้างรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นจนต้องถอยกายห่างออกไป
ป่าเต๋อเพียงส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
ราชาหยกขาวจ้องมองไปที่สังเวียนประลองต่อไป
ในขณะนี้ ผู้ชมทุกคนต่างก็รู้สึกอยากจะตะโกนว่า ‘คืนเงินค่าตั๋วมาเดี๋ยวนี้’ อีกครั้ง
นี่คือการต่อสู้ระหว่างยอดหญิงงามสองคน
ในจังหวะที่พวกนางกำลังจะเปิดฉากต่อสู้กัน ผู้คนจึงเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น
โอกาสที่จอมเทพอนันต์หญิงซึ่งเป็นโฉมงามของทั้งสองเผ่าพันธุ์จะมาต่อสู้กันเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก
แล้วบัดนี้เกิดอะไรขึ้น?
บนสังเวียนประลองว่างเปล่า
พวกนางเข้าไปต่อสู้กันในอาณาเขตที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น
บัดนี้ การประลองดำเนินมาถึงคู่ที่สี่
สองคู่จบลงอย่างรวดเร็ว อีกสองคู่ก็ไปต่อสู้กันในอาณาเขตที่ไม่มีผู้คนมองเห็น…
นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้รับชมต้องการ
แม้แต่ฝ่ายกองทัพเป่ยเฉินก็ยังสงสัยเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินเองก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่แพ้กัน
เขากำลังเป็นห่วงธิดาอู๋ไห่จือตี้
แม้ว่านางจะบรรลุขั้นจอมเทพอนันต์ได้สำเร็จแล้ว แต่คู่ต่อสู้ของนางคือผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ซึ่งมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ซ่อนความน่ากลัวใดเอาไว้บ้าง เพราะนางเป็นผู้ที่เก็บงำความลับได้เก่งมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีขั้นพลังสูงกว่าจอมทัพอสูรป่าเต๋อ
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ แล้วธิดาอู๋ไห่จือตี้จะไม่ตายได้อย่างไร?
ถึงหลินเป่ยเฉินจะไม่ได้รู้จักธิดาอู๋ไห่จือตี้ลึกซึ้งอะไรนัก แต่พวกเขาก็เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาระยะหนึ่ง ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่ต้องการเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ประโยชน์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพราะเหตุใดเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงกล่าวเอาไว้ว่า ‘อย่าเสียใจก็แล้วกัน’
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้
แต่จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังเป็นกังวลอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
มีสายเรียกเข้า
หลินเป่ยเฉินกดรับและพูดว่า “ครั้งนี้ท่านทำเกินไปแล้วนะ…”
“นายท่านเจ้าคะ ท่านพี่เฉียนเจินกำลังจะคลอดบุตรแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงที่ดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์คือเสียงของเฉียนเหมย
หืม?
ไม่ใช่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหรือนี่?
“ทำไมถึงเร็วจริง?”
หลินเป่ยเฉินอุทานด้วยความตกใจ “นางเพิ่งตั้งครรภ์ได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
“แม่นมรุ่ยบอกว่าทารกในครรภ์ท่านพี่เฉียนเจินมีความผิดปกติเจ้าค่ะ บัดนี้มีสัญญาณการถือกำเนิดแล้ว” น้ำเสียงของเฉียนเหมยเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยกำลังจะได้เป็นน้าแล้ว ฮ่า ๆๆๆ”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
เฉียนเหมยยังหัวเราะได้เช่นนี้ หมายความว่าทุกอย่างยังคงราบรื่นดี
“เจ้านับญาติผิดแล้ว อย่างเจ้าต้องเรียกว่าแม่เล็กต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินว่า
เฉียนเหมยผู้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนที่จะรีบตั้งสติและกล่าวว่า “นายท่านรีบกลับมาก่อนได้ไหมเจ้าคะ? ท่านพี่เฉียนเจินกำลังจะคลอดบุตรคนแรก หากท่านมาอยู่ข้างกายของนาง จิตใจของนางคงสงบมากขึ้น”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปยังสังเวียนประลองอันว่างเปล่าซึ่งยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ได้สิ ข้าจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ตอนนี้เจ้าดูแลเฉียนเจินไปก่อน หากมีอะไรคืบหน้า สามารถติดต่อข้าได้ตลอดเวลา”
“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นนายท่านก็รีบกลับมานะเจ้าคะ”
เฉียนเหมยพูดก่อนจะกดวางสายไป
หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์มือถือและถอนหายใจออกมายาวแรง
เขากำลังตื่นเต้น
เขากำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้ว
นี่คือครั้งแรกในสองชีวิตของเขา
หากบอกว่าไม่ตื่นเต้นก็คงเป็นการโกหก
เขาจ้องมองไปทางสังเวียนประลองพร้อมกับกระซิบว่า “สู้กันเสร็จได้แล้ว สู้กันเสร็จได้แล้ว…”
ฮันปู้ฟู่ขยับเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉินสอบถามอีกครั้งว่า “มีอะไรหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “ข้าขอเรียกท่านว่าท่านพ่อได้หรือไม่?”
ฮันปู้ฟู่ขมวดคิ้ว “เจ้าจะเรียกข้าว่าท่านพ่ออย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเจ้าเล่ห์และกล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ”
ฮันปู้ฟู่ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
“ข้าว่าไม่น่าเหมาะสมกระมัง?”
ฮันปู้ฟู่ให้คำตอบด้วยความพิศวง
“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มและกล่าวว่า “เพราะว่าข้ากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วขอรับ… ฮ่า ๆๆ หากท่านไม่อยากเจ็บใจ ท่านก็ต้องให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพ่อ เหมือนกับที่ฮันซางเซียงเรียกท่านไงล่ะ”
ฮันซางเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบก้มหน้าต่ำทันที
ถึงนางจะเป็นแม่ทัพผู้ผ่านสมรภูมิรบมามากมาย แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งไม่อาจทนกับพฤติกรรมเสเพลที่ได้ยินกับหูของตนเองเช่นนี้
ทันใดนั้น ฮันปู้ฟู่ถามขึ้นมาว่า “คนที่จะให้กำเนิดบุตรกับเจ้าเป็นผู้ใด?”
หลินเป่ยเฉินทราบดีอยู่แล้วว่าตนเองต้องถูกถามเช่นนี้ “เป็นเฉียนเจิน”
“อ้อ เป็นแม่นางน้อยผู้นั้นเอง”
ฮันปู้ฟู่ผงกศีรษะและกล่าวว่า “นี่ก็ผ่านมาได้หลายร้อยปีแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจอนาง… เป่ยเฉิน เจ้านี่มันสมชื่อคนเสเพลแห่งเมืองหยุนเมิ่งจริง ๆ โปรดดูแลสตรีอื่นให้ดีและอย่าทำให้พวกนางผิดหวังเล่า”
“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มถามด้วยความกระตือรือร้น
ฮันปู้ฟู่ตอบว่า “แน่นอน ข้าหมายความว่าเจ้าเกิดมามีรูปโฉมหล่อเหลา เป็นที่หมายปองของบรรดาสาวงามนับไม่ถ้วน และที่ผ่านมา ไม่ทราบเลยว่าเจ้าต้องทำให้สาวงามเจ็บช้ำน้ำใจไปมากมายเพียงใด…”
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินรีบขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว “ท่านหมายความว่าข้าสามารถประพฤติตนเป็นคนเสเพลได้ต่อไป เพียงแต่ต้องรู้จักความรับผิดชอบเท่านั้น”
ฮันปู้ฟู่ถึงกับพูดคำใดไม่ออกอีกแล้ว