เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1989 เปลี่ยนชุด
ตอนที่ 1,989 เปลี่ยนชุด
ฮันปู้ฟู่ได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “อีกอย่าง ข้าก็ไม่เคยโปรยเสน่ห์ใส่สตรีที่ชั่วร้ายนะขอรับ สตรีของข้าแต่ละคนต่างก็เป็นหญิงสาวที่น่ารักไปจนถึงนักบวชที่น่าเคารพ ข้าต่างก็มอบความอบอุ่นให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้น ความเสเพลของข้าจึงไม่นับเป็นเรื่องเลวร้ายอันใด”
ฮันปู้ฟู่ตัดสินใจปิดปากเงียบ
เพราะขืนพูดต่อไป เขาคงต้องปวดหัวตายเพราะหลินเป่ยเฉินแน่ ๆ
ฮันปู้ฟู่หันกลับมาชำเลืองมองบุตรสาวด้วยความเป็นกังวล
น่าสงสารซางเซียงแท้ ๆ
ทันใดนั้น…
บนสังเวียนประลองได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว
แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
แล้วร่างของจอมเทพอนันต์หญิงทั้งสองก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
บัดนี้ สายตาของผู้คนจำนวนมากต่างก็จ้องมองไปที่พวกนางเป็นจุดเดียวกัน
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลินเป่ยเฉินเองก็ตกใจไม่แพ้ทุกคน
เพราะว่าในขณะนี้ จอมเทพอนันต์หญิงทั้งสองที่ปรากฏตัวบนสังเวียนประลองได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของนางแล้ว ผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่สวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าเปิดแผ่นหลัง ใส่รองเท้าส้นสูง ส่วนอดีตแม่ค้าอาหารทะเลธิดาอู๋ไห่จือตี้ก็สวมใส่ชุดเกราะสีแดงเพลิง อวดเอวอรชรและสองเท้าเปล่าเปลือยทาเล็บสีแดง…
นี่มัน…
พวกนางแลกเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหรือ?
ทำแบบนี้ก็ได้หรือ?
หลินเป่ยเฉินแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
ผู้ชมคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทำไมเมื่อพวกนางกลับออกมาจากอาณาเขตสนธยา พวกนางถึงสวมใส่เสื้อผ้าของกันและกัน?
นี่คือสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลเสียเลย
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจภาพที่ตนเองกำลังเห็นอยู่แม้แต่นิดเดียว
เขากำลังตกตะลึง
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจึงตกตะลึงที่พวกนางสลับชุดกันใส่ จนนานทีเดียวกว่าที่จะมีผู้คนนึกขึ้นมาได้ว่า ‘แล้วใครเป็นผู้ชนะ?’
พวกเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าผู้ใดเป็นผู้ชนะ
บางคนถึงกับร่ำร้องอยู่ในใจว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้ พวกเขาอยากให้จอมเทพอนันต์หญิงทั้งสองคนฉีกทึ้งเสื้อผ้าของกันและกันและต่อสู้ต่อไป
ทันใดนั้น ผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ถอนหายใจยาวแรง ก่อนกล่าวว่า “กราบเรียนท่านผู้สูงส่ง ข้าไม่ใช่คู่มือของท่าน… ท่านชนะแล้ว”
นั่นเองผู้คนจึงได้หลุดจากความตกตะลึงและส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความตกใจ
ขอยอมแพ้อย่างนั้นหรือ?
ตัวแทนจากเผ่าอสูรโลหิตได้ขอยอมแพ้อีกคนแล้ว
นี่หมายความว่ากองทัพเป่ยเฉินชนะอีกหนึ่งครั้ง
การประลองสี่คู่ กองทัพเป่ยเฉินชนะหมดทั้งสี่คู่
แล้วยังจะต้องต่อสู้กันไปเพื่ออะไรอีก?
นี่คือการตัดสินผลแพ้ชนะได้อย่างแท้จริง
ราชาหยกขาวรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความตกตะลึง โกรธแค้นและเคลือบแคลงสงสัย
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ หากเขาไม่รู้ว่ามีความไม่ชอบมาพากลบางอย่างเกี่ยวกับเผ่าอสูรโลหิต ราชาหยกขาวก็คงเป็นตัวโง่งมตัวหนึ่ง
เจ้าพวกอสูรชั้นต่ำ!
กล้าดีอย่างไรถึงได้หักหลังเขา?
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าจอมทัพอสูรป่าเต๋อและผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ไม่ได้คิดจริงจังกับการประลองในวันนี้เลยสักนิดเดียว
เมื่อผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่กลับมาถึงบนเรือเหาะ ราชาหยกขาวก็ไม่ได้เดินไปขวางหน้าและซักถามเหมือนที่ทำกับจอมทัพอสูรป่าเต๋อ
เขาเพียงชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
และแอบครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ‘เมื่อสามารถกำจัดผู้นำกองทัพเป่ยเฉินได้ในวันนี้ ข้าก็จะปล่อยให้จอมทัพอสูรป่าเต๋อและผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่อยู่รอดต่อไปอีกไม่ได้เป็นอันขาด’
เมื่อไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน ก็เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อใจ
ในอนาคต ราชาหยกขาวจะไม่มีทางเชื่อใจในตัวพวกอสูรเหล่านี้อีกแล้ว
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ราชาหยกขาวก็ลอยตัวออกจากเรือเหาะอย่างแช่มช้า
ลมหายใจต่อมา เขาก็ทิ้งตัวลงสู่สังเวียนประลอง
การประลองคู่ที่ห้า เขาจะออกไปต่อสู้เอง!
สายตาเป็นประกายระยิบระยับไม่ต่างจากคมกระบี่ ราชาหยกขาวระเบิดพลังปราณ ส่งเสียงกังวานไปทั่วแผ่นฟ้าว่า “การประลองคู่ที่ห้า มีผู้ใดกล้าออกมาสู้กับข้าบ้าง?”
บนเรือธงของกองทัพเป่ยเฉิน หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้าฮันปู้ฟู่ด้วยความวิตกกังวล
ฮันปู้ฟู่ก็กังวลไม่ต่างกัน
ราชาหยกขาวที่กำลังโกรธแค้นถึงกับลงสู่สังเวียนด้วยตัวเอง การประลองคู่ที่ห้าในครั้งนี้จึงมีความอันตรายมากกว่าการประลองทุกคู่ที่ผ่านมา
ไม่มีผู้ใดมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะราชาหยกขาวได้
ขอแค่ลงสู่สังเวียนประลองก็นับว่าเป็นอันตรายใหญ่หลวงแล้ว
และในเมื่อสถานการณ์โดยรวมถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงไม่ควรสูญเสียจอมเทพอนันต์ไปโดยเปล่าประโยชน์
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้รับข้อความเสียงจากเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงผ่านทางแอปวีแชตว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคงกำลังปวดหัวอยู่สินะ? คงคิดเสียดายนางขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่?”
เป็นเช่นเคย
หลินเป่ยเฉินรีบกดโทรหาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโดยไม่รอช้า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมธิดาอู๋ไห่จือตี้… พี่สาวคนสวยท่านนั้นถึงสามารถเอาชนะผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่ได้? นางแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ดูเหมือนว่าผู้ที่รับสายจะเป็นธิดาอู๋ไห่จือตี้
โชคดีที่เขาเปลี่ยนคำพูดได้ทันเวลา
“เอาชนะอะไรกัน?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งเสียงหัวเราะแทรกเข้ามาด้วยความชอบใจ “พวกนางเพียงแลกเสื้อผ้ากันใส่ และพูดคุยเรื่องการดูแลผิวพรรณเท่านั้น นอกจากนี้พวกนางก็ไม่ได้ทำอะไรอีก เจ้าคิดหรือว่ายอดหญิงงามอย่างพวกนางจะต้องมาสู้กันเพื่อเศษสวะอย่างเจ้าน่ะ?”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ต้องก้มหน้ามองพื้น
เฮ้อ…
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงปากร้ายไม่เปลี่ยนแปลง
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “เราต้องการคนที่จะมาพลีชีพในการประลองคู่สุดท้าย ไม่ทราบว่าท่านยังเหลือผู้ใดอยู่อีกหรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะในลำคอเหยียดหยาม “แล้วเจ้าก็นึกถึงข้าเนี่ยนะ?”
หลินเป่ยเฉินทำเสียงเหมือนอยากจะร้องไห้ “อย่าเพิ่งก่อกวน ข้าพูดจริงจัง”
“เจ้าเศษสวะ เจ้าเห็นข้าเป็นคนรับใช้ของเจ้าหรืออย่างไร?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
หลินเป่ยเฉินพูดคำใดไม่ออก
นี่นางจะเรียกเขาดี ๆ ไม่ได้หรือไง?
คำก็เศษสวะ สองคำก็เศษสวะ
เศษสวะก็มีหัวใจเหมือนกันนะเว้ย
ดูเหมือนช่วงหลังเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะปากคอเราะร้ายมากจนผิดปกติแล้วสิ
“หากเจ้ายินดีรับข้อเสนอของข้า ข้าก็จะส่งคนไปเข้าร่วมการประลองเป็นคู่สุดท้าย”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดอีกครั้ง
“ข้อเสนออันใด?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความเจ็บใจ
เขาแทบจะเคยหมดตัวเพราะนางมาแล้วก็หลายครั้ง
ดังนั้นข้อเสนอของนางจึงต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“เจ้าต้องส่งมอบดวงดาวที่อยู่ในการปกครองของอาณาจักรเหนียนเซียงสามสิบหกดวงให้แก่สำนักเซวียนเสวี่ย นอกจากนี้ ยังถือว่าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้าอีกด้วย”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักเล็กน้อย “เดี๋ยวก่อนนะ… ต้องให้ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านด้วยหรือ?”
“เจ้าลองถามตนเองดูสิว่า เจ้าติดหนี้บุญคุณข้าเพียงใด?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“เฮ้อ ขอข้าใช้เวลาตัดสินใจสักครู่”
หลินเป่ยเฉินกดวางสายก่อนจะนำข้อเสนอนี้ไปบอกต่อฮันปู้ฟู่