เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1990 การประลองคู่สุดท้าย
ตอนที่ 1,990 การประลองคู่สุดท้าย
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่ได้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอีกแล้ว
ฮันปู้ฟู่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความคาดไม่ถึงและตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว “เจ้าตอบตกลงไปเถอะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง… แน่นอนว่าฮันปู้ฟู่ย่อมเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
และเขาก็รู้อีกเช่นกันว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังเจริญเติบโตและรุ่งเรืองขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว
มนุษย์และปีศาจเป็นเผ่าพันธุ์ที่เกลียดชังกันมาหลายชั่วอายุคน
หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือ หากไม่มีการปรากฏตัวขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ เส้นทางดาราจักรก็คงถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์อสูรเป็นแน่แท้
ดังนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจจึงกลายเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ๆ อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เผ่าพันธุ์อสูร หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทะเลทราย
แต่บัดนี้ ฮันปู้ฟู่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยเฉิน เขาไม่ใช่คนที่รู้จักแต่การสู้รบอีกต่อไป ประสบการณ์หลายร้อยปีที่ผ่านมา สอนให้ฮันปู้ฟู่ได้รู้ถึงการชั่งน้ำหนักและการตัดสินใจเพื่อความถูกต้องทางการเมือง
การมอบดาวเคราะห์ในการปกครองสามสิบหกดวงของอาณาจักรเหนียนเซียงให้แก่เผ่าพันธุ์ปีศาจ เป็นสิ่งที่คุ้มค่ากับการขับไล่เผ่ามนุษย์ทะเลทรายและเผ่าพันธุ์อสูรออกไปจากอาณาจักรแห่งนี้ เพราะดาวเคราะห์ทั้งสามสิบหกดวงนั้นเทียบได้เพียงไม่กี่ส่วนกับจำนวนดาวเคราะห์ที่อยู่ในการปกครองของอาณาจักรเหนียนเซียง
อีกอย่าง สมาชิกระดับสูงของสำนักเซวียนเสวี่ยก็สนิทสนมกับหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี
ในอนาคตยังมีหนทางเจรจากันได้
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็พยักหน้าเล็กน้อยและติดต่อไปที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
“ขอให้สนุก ข้าจะส่งตัวแทนไปเดี๋ยวนี้”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาไม่ทราบเลยว่าหน่วยพลีชีพที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจะส่งมานั้นเป็นผู้ใด?
ในใจของหลินเป่ยเฉินจึงนึกสงสารยอดฝีมือผู้นั้นอยู่ไม่น้อย
โลกนี้ช่างโหดร้าย
แต่ไม่มีอะไรจะโหดร้ายมากไปกว่าจิตใจของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองมีความเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมและโหดร้ายพอสมควร แต่ก็ยังเทียบกับนางไม่ติด
แต่เมื่อเห็นโฉมหน้าของ ‘หน่วยพลีชีพ’ สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็ต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ
บนสังเวียนประลอง ตัวแทนที่เป็นหน่วยพลีชีพปรากฏกายขึ้น นางมีความสูงเท่ากับบุรุษหนุ่ม สวมกระโปรงสีแดง ใส่รองเท้าบูทหนัง ผิวพรรณขาวผ่อง ผมรวบเป็นหางม้ายกสูง ดวงตาผูกปิดเอาไว้ ผมหางม้าปลิวไสวตามแรงลม…
นี่คือแม่นางตาบอดเซี่ยเต๋อจี
ปรากฏว่าเซี่ยเต๋อจีถูกส่งออกมาเป็นหน่วยพลีชีพ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ
ให้ตายเถอะ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเสียสติไปแล้วหรือ?
นางส่งเซี่ยเต๋อจีมาเป็นหน่วยพลีชีพเนี่ยนะ
ก็ไหนว่าพวกนางมีความรักใคร่กลมเกลียวกันไม่ใช่หรือไง?
หลินเป่ยเฉินรีบกดโทรหาเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ นางไม่ยอมรับสาย
หลินเป่ยเฉินลองโทรหาอีกสามครั้งติด ๆ
แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็กดตัดสายทิ้งตลอด
หลินเป่ยเฉินอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้งด้วยความเดือดดาล
และในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังวิตกกังวลอยู่นี้ การต่อสู้บนสังเวียนประลองก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ราชาหยกขาวขยายร่างกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีความสูงเท่ากับตึกหลายสิบชั้น ร่างกายปกคลุมด้วยรัศมีสีขาวราวกับว่าตัวคนแกะสลักขึ้นมาจากหยกขาว และมือขนาดใหญ่ยักษ์นั้นก็กำลังตะปบลงไปที่เซี่ยเต๋อจี
“จงดูให้ดี”
อยู่ดี ๆ แม่นางตาบอดก็พูดประโยคนั้นออกมา
นี่ฟังดูเหมือนคำพูดที่กล่าวขึ้นอย่างเลื่อนลอย
แต่ในใจของหลินเป่ยเฉินกำลังตกตะลึง
เพราะเขารู้ดีว่านางกล่าวประโยคนี้กับตนเอง
แม่นางตาบอดต้องการให้เขารับชมการต่อสู้ของนาง
เซี่ยเต๋อจีเริ่มร่ายรำเพลงหมัด
มวลอากาศปั่นป่วน
คลื่นพลังแผ่กระจาย
ตู้ม!
กำปั้นของนางปะทะเข้ากับฝ่ามือหยกขาวขนาดยักษ์
แล้วฝ่ามือก็แตกกระจาย
นี่คือกระบวนท่าสะบั้นฟ้า
หลินเป่ยเฉินจ้องมองด้วยความตกตะลึง
กระบวนท่าที่เซี่ยเต๋อจีใช้ออกมาเป็นกระบวนท่าเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์แปดชั้นฟ้า แต่พลังทำลายล้างกลับรุนแรงมากกว่าที่หลินเป่ยเฉินคาดคิดเอาไว้ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่า พี่สาวตาบอดท่านนี้ไม่ได้ถูกส่งตัวมาเพื่อเป็นหน่วยพลีชีพ
นางมีพลังไม่ต่ำต้อยไปกว่าราชาหยกขาว
เป็นจอมเทพอนันต์ระดับสูง!
ไม่ใช่จอมเทพอนันต์ชนชั้นธรรมดา
นี่หมายความว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตั้งใจส่งนางมาเพื่อเก็บชัยชนะใช่หรือไม่?
หลินเป่ยเฉินจ้องมองไปยังสังเวียนประลองด้วยความกระตือรือร้น
ในขณะนี้ แม่นางตาบอดกำลังใช้เรือนร่างอันสง่างามของตนเองเป็นอาวุธ นางใช้กำปั้น ฝ่ามือ ท่อนขาและฝ่าเท้า อวัยวะทุกส่วนในร่างกายคืออาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรง ราชาหยกขาวไม่สามารถเปิดการโจมตีได้เต็มที่ เขาทำได้เพียงโต้กลับมาเป็นระยะเท่านั้น
นี่คือภาพที่ทำให้กลุ่มผู้รับชมตกตะลึงกันอย่างถ้วนหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการต่อสู้ในรูปแบบที่ทุกคนจินตนาการและคาดหวัง
แต่คำถามก็คือจอมเทพอนันต์หญิงผู้มีผ้าปิดตาคนนี้เป็นใครกัน? กองทัพเป่ยเฉินมีจอมเทพอนันต์มากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
แม้แต่ฮันปู้ฟู่ก็ยังต้องหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
เขากำลังสงสัยว่าความพยายามตลอดห้าร้อยปีของตนเองยังคงไม่เพียงพอ
ฮันปู้ฟู่ใช้ระยะเวลาห้าร้อยปีนั้นรวบรวมยอดฝีมือมาจากทุกสารทิศ แต่หลินเป่ยเฉินเพิ่งมาอยู่ที่เส้นทางดาราจักรได้ไม่ถึงหนึ่งปี เด็กหนุ่มกลับมีจอมเทพอนันต์หญิงเป็นพรรคพวกแล้วถึงสองคน
หรือว่าผู้ที่มีหน้าตาหล่อเหลาย่อมได้ทุกอย่างที่ต้องการ?
บนสังเวียนประลอง การต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด
ต้องไม่ลืมว่าราชาหยกขาวคือหนึ่งในสุดยอดฝีมือของเผ่ามนุษย์ทะเลทราย โดยเฉพาะหลังจากการขยายร่าง ราชาหยกขาวก็จะมีพลังการโจมตีเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อเริ่มตั้งหลักได้ เขาก็เป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีใส่หญิงสาวตาบอดอย่างดุดัน
กลุ่มผู้ชมต่างก็พร้อมใจกันส่งเสียงอุทานด้วยความตื่นเต้น
นี่คือการประลองที่พวกเขาตั้งตารอคอย
หลินเป่ยเฉินก็เฝ้าดูด้วยความสนใจเช่นกัน
และอารมณ์ความรู้สึกภายในยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลอยู่หลายส่วน
เด็กหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายใจอีกครั้ง
เซี่ยเต๋อจีมีความแข็งแกร่งเกินคาดคิดก็จริง แต่ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้อย่างไร นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
สิ่งสำคัญสำหรับหลินเป่ยเฉินก็คือ เขาหวังว่านางจะสามารถกลับออกมาจากสังเวียนประลองได้อย่างปลอดภัย
เซี่ยเต๋อจีแสดงกระบวนท่าในคัมภีร์แปดชั้นฟ้าออกมาอย่างครบถ้วน
นางแสดงให้เห็นถึงพลังทำลายล้างที่แท้จริงของกระบวนท่าเหล่านั้น
คำว่า ‘จงดูให้ดี’ นางจึงตั้งใจกล่าวต่อหลินเป่ยเฉิน
นี่คือการบอกให้รู้ว่าพลังทำลายล้างที่แท้จริงของคัมภีร์แปดชั้นฟ้านั้นเป็นอย่างไร
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว
คัมภีร์แปดชั้นฟ้าเป็นวิชาสำหรับจอมเทพอนันต์
และมีเพียงจอมเทพอนันต์เท่านั้นที่จะแสดงพลังของมันออกมาได้อย่างแท้จริง
แม้ว่าหลินเป่ยเฉินจะฝึกวิชาด้วยโทรศัพท์มือถือจนบรรลุระดับสูงสูงของคัมภีร์แล้ว แต่ขั้นพลังของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนพี่สาวตาบอด เพราะฉะนั้น การโจมตีของเขาจึงไม่รุนแรงเท่านาง
ในขณะนี้ จิตใจของหลินเป่ยเฉินสงบเยือกเย็นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว