เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1991 เหตุด่วน
ตอนที่ 1,991 เหตุด่วน
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูการต่อสู้ของเซี่ยเต๋อจีด้วยความตั้งอกตั้งใจ และพบว่ากระบวนท่าเหล่านั้นแตกต่างจากที่ตนเองเคยใช้อย่างสิ้นเชิง
การประลองคู่สุดท้ายดำเนินไปถึงสองชั่วยามเต็ม ๆ
ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ
บรรดาผู้ชมจากรอบข้างต่างก็รู้สึกตื่นเต้น
แม้แต่ฮันซางเซียงก็ยังมีแววตาเป็นประกายสดใส ตื่นตาตื่นใจไปกับการประลองครั้งนี้
การได้เห็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์ระดับสูงมาต่อสู้กันเช่นนี้ คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังพยายามเลื่อนขั้นพลัง
บางทีการรับชมการต่อสู้ในวันนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาเลื่อนขั้นพลังสำเร็จก็เป็นได้
แต่ในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน ความรู้สึกของเขาในขณะนี้ย่อมแตกต่างจากผู้อื่น
เพราะเขาเป็นผู้ฝึกวิชาตามคัมภีร์แปดชั้นฟ้า เขาจึงมีความเข้าใจในรูปแบบการต่อสู้ของพี่สาวตาบอดอย่างลึกซึ้งและสามารถเชื่อมโยงกระบวนท่าต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปนานมากเท่าไหร่ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคัมภีร์แปดชั้นฟ้าของหลินเป่ยเฉินก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ เด็กหนุ่มยังได้สั่งให้โทรศัพท์มือถือบันทึกคลิปวิดีโอการประลองคู่นี้เอาไว้ด้วย
เพียงพริบตาเดียว อีกหนึ่งชั่วยามก็ผ่านไป
ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนว่ามีสายเรียกเข้าจากแอปวีแชตดังขึ้น
แต่สมาธิของหลินเป่ยเฉินกำลังจดจ่ออยู่ที่การจดจำกระบวนท่าของเซี่ยเต๋อจี ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
หลินเป่ยเฉินไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีสายเรียกเข้า
สายเรียกเข้านั้นดังขึ้นไม่หยุด
ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เป็นเวลาถึงหนึ่งถ้วยชา
วูบ!
หน้าจอโทรศัพท์กะพริบวูบวาบ
ดูเหมือนจะเกิดเหตุด่วน
ตู้ม!
บังเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงบนสังเวียนประลอง
เซี่ยเต๋อจีและราชาหยกขาวต่างก็แยกออกจากกันไปยืนห่างไกล
การต่อสู้คู่สุดท้ายมีความดุเดือดเกินจินตนาการของผู้คน
โชคดีที่สังเวียนประลองได้รับการคุ้มครองด้วยค่ายอาคมพิเศษ รอบบริเวณจึงถูกป้องกันด้วยม่านพลังหนาแน่น หากไม่มีม่านพลังเหล่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายหมื่นลี้ก็คงแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว
แววตาของราชาหยกขาวมีความเคร่งเครียดมากขึ้น
เขาไม่คิดเลยว่ากองทัพเป่ยเฉินจะมีจอมเทพอนันต์หญิงที่ทรงพลังถึงเพียงนี้
การโจมตีทั้งแปดกระบวนท่าของนางแทบไม่มีจุดอ่อนเลย
แม้ราชาหยกขาวจะใช้ท่าไม้ตายของตนเองออกไป แต่ก็ทำได้เพียงเอาตัวรอดเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ เซี่ยเต๋อจีผู้ผูกผ้าปิดตาสีแดงยังคงมีท่าทีเรียบเฉย รอบกายห้อมล้อมด้วยคลื่นพลังปั่นป่วน ชายกระโปรงที่ยาวระดับเข่าของนางพลิ้วไสว มวลพลังกดดันยังคงถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงเช่นเดิม
การต่อสู้หยุดชะงักลงชั่วคราว
เพราะทั้งสองฝ่ายกำลังหาจุดอ่อนของกันและกัน
ในเวลานี้เอง เมื่อการประลองหยุดชะงักลง หลินเป่ยเฉินจึงกลับมาได้สติอีกครั้ง
ครืด!
โทรศัพท์มือถือสั่นไหว
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูและพบว่ามีการแจ้งเตือนสายเรียกเข้าจากเฉียนเหมย
เขาพบว่านางพยายามโทรหาเขาหลายสิบสายแล้ว
หลินเป่ยเฉินรีบกดโทรไปหานางด้วยความร้อนรน
“นายท่าน รีบกลับมาได้แล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่เฉียนเจินจะทนไม่ไหวแล้ว…”
เสียงร้องไห้ของเฉียนเหมยดังออกมาจากโทรศัพท์
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้
เด็กหนุ่มรู้ได้โดยทันทีว่าเรื่องที่เขาวิตกกังวลมากที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว
“เดี๋ยวข้ากลับมานะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหันไปตะโกนบอกฮันปู้ฟู่ก่อนจะหายตัวไปกลางอากาศ
ฮันปู้ฟู่หัวใจกระตุกวูบ
ในฐานะที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานซึ่งไม่ได้เจอหน้ากันมากว่าห้าร้อยปี เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉิน
นี่คงเป็นสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสมาก ๆ ทีเดียว
…
ครึ่งชั่วยามก่อน
สุสานกษัตริย์
ตำหนักใหญ่ใจกลางสุสาน
“พี่เฉียนเจิน ตื่นขึ้นมาเถอะ รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า อย่าเพิ่งหลับสิ… ทารกกำลังจะคลอดแล้ว อดทนเอาไว้ก่อน...”
เสียงร้องไห้ของเฉียนเหมยดังก้องกังวานไปทั่วตำหนักใหญ่
กลุ่มแม่บ้านหญิงที่อยู่ภายในห้องล้วนมีสีหน้าวิตกกังวล แม้ว่าพวกนางเพิ่งจะรับใช้เฉียนเจินได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่เฉียนเจินเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมและมีกิริยาวาจางดงาม ทุกคนจึงรู้สึกหลงรักนางหมดหัวใจ
ผู้คนเดินเข้าออกห้องพักของเฉียนเจินอย่างวุ่นวาย
รุ่ยเอ๋ออยู่ในสภาพที่เหงื่อท่วมตัวแล้ว
“แย่แล้วเจ้าค่ะ”
นางกล่าวเสียงดัง “ทารกมีความพิเศษมากเกินไป เราจำเป็นต้องทำคลอดแล้ว ทารกกำลังดูดซับพลังจากมารดาไม่หยุด แต่โชคดีที่ดูเหมือนทารกในครรภ์จะทราบถึงอันตรายในข้อนี้ ทารกจึงพยายามดูดซับพลังให้น้อยที่สุด แต่นั่นก็ยังเป็นอันตรายต่อแม่นางเฉียนเจินอยู่ดี หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อาจเกิดอันตรายขึ้นได้กับทั้งมารดาและตัวทารกเองเจ้าค่ะ…”
รุ่ยเอ๋อยกแขนเสื้อซับเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะหันมามองหน้าเฉียนเหมยและกล่าวว่า “ท่านต้องตัดสินใจแล้ว”
“ตะ… ตัดสินใจอันใด?”
เฉียนเหมยถามกลับไปด้วยความกระวนกระวายใจ
นางเคยลงสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน เคยเผชิญหน้าอันตรายที่ถึงตายมาหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน
รุ่ยเอ๋อสูดหายใจลึกและถามว่า “ระหว่างมารดากับทารก ท่านจะเลือกผู้ใด?”
ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที
ความหวาดกลัวและหมดหวังปรากฏขึ้นบนสีหน้าของทุกคน
มีเพียงเสียงหอบหายใจอันหนักหน่วงของเฉียนเจินเท่านั้นที่ดังขึ้นในอากาศ
เฉียนเหมยน้ำตาไหลพราก
ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้ขึ้นด้วยนะ?
นี่เป็นเพียงการคลอดบุตรคนหนึ่งเท่านั้น
แล้วนางก็ไม่สามารถติดต่อกับนายท่านได้ด้วย
นายท่านสมควรเป็นผู้ตัดสินใจสิ
“เก็บ… ทารกเอาไว้”
เสียงอ่อนระโหยดังขึ้นจากเตียงหลังใหญ่
เฉียนเจินได้ยินบทสนทนาทั้งหมด ใบหน้าของนางซีดขาว นางกัดริมฝีปาก พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด เม็ดเหงื่อที่เปียกชุ่มเส้นผมหยดลงมาบนสองแก้ม นางพยายามอดทนอดกลั้นต่อความทรมานขณะกล่าวว่า “ช่วยทารกก่อน... นะ… นี่เป็นบุตรคนแรกของนายท่าน... เราต้องเก็บทารกเอาไว้…”
“พี่สาว อย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย เดี๋ยวนายท่านก็กลับมาแล้ว”
เฉียนเหมยรีบถลาเข้าไปข้างเตียงนอนและกุมมืออันเย็นเฉียบของเฉียนเจินแนบแน่น น้ำตายังคงไหลออกมาจากสองตา “นายท่านต้องอยากเก็บไว้ทั้งมารดาและทารกแน่นอน อดทนหน่อยสิ เดี๋ยวนายท่านก็กลับมาแล้ว ตราบใดที่นายท่านกลับมา ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง”
เฉียนเหมยถ่ายทอดพลังปราณเข้าสู่ร่างกายของเฉียนเจินโดยตรง
แต่ไม่มีประโยชน์เลย
เพราะพลังเหล่านั้นถูกดูดหายไปทันที