เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1992 ข้อเสนอของหญิงปริศนา
ตอนที่ 1,992 ข้อเสนอของหญิงปริศนา
นายท่านมัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก?
ทำไมนายท่านถึงไม่รับสาย?
จังหวะนั้น เฉียนเหมยพบว่าฝ่ามือของเฉียนเจินเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ
ชีพจรของนางก็อ่อนลงเรื่อย ๆ เช่นกัน
“ท่านพี่… ไม่นะ อดทนไว้ก่อน นายท่านกำลังจะกลับมาแล้ว ข้าติดต่อหานายท่านแล้ว…”
เฉียนเหมยร้องไห้ออกมาเสียงดัง
นางไม่เคยตื่นกลัวและหมดหวังถึงเพียงนี้มาก่อน
แม้แต่ตอนที่ถูกขายให้แก่หอนางโลมตอนยังเป็นเด็กน้อยและถูกต้อนให้ไปนั่งอยู่ในมุมมืดรอคอยชะตากรรมอันมืดมน นางก็ยังไม่รู้สึกหมดหวังและตื่นกลัวถึงเพียงนี้
แล้วนางก็ได้พบเจอกับเฉียนเจิน
พวกนางพบกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
น่าจะสามวันหลังจากที่เฉียนเหมยถูกขายให้แก่หอนางโลมใช่หรือไม่?
ตอนนั้นนางเต้นรำผิดจังหวะ ทำให้ถูกผู้ฝึกสอนทุบตีอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็ถูกบังคับให้เต้นรำทั้ง ๆ ที่ตัวเปื้อนเลือดอย่างนั้น แล้วเด็กหญิงท่าทางสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่งก็รีบเข้ามาช่วยพาเฉียนเหมยไปทำแผลและช่วยทายาให้นางอีกด้วย
“ข้าชื่อเฉียนเจิน เจ้าชื่ออะไร?”
“อ้อ ข้าชื่อเฉียนเหมย พวกเราแซ่เฉียนเหมือนกันเลย”
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“ข้าอายุสิบขวบ”
“ข้าอายุมากกว่าเจ้า เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านพี่”
“ได้เลยเจ้าค่ะ ท่านพี่”
“นี่ วันหลังเจ้าอย่าเถียงอาจารย์สอนเต้นรำอีกนะ ไม่ว่าถูกดุด่าอย่างไร เจ้าก็ต้องก้มหน้ารับไป มิฉะนั้น เจ้าจะต้องเจ็บตัวมากกว่านี้”
“ท่านพี่ ข้าอยากออกไปจากที่นี่…”
ในเวลานี้ ภาพจากอดีตอันยาวไกลฉายย้อนกลับคืนมาในห้วงภวังค์ของเฉียนเหมย
วันเวลาอันมืดหม่นในหอนางโลม เฉียนเจินเป็นผู้ที่คอยดูแลปกป้องเฉียนเหมย นางคือแสงสว่างแห่งความหวังในชีวิตของเฉียนเหมยอย่างแท้จริง
ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น เฉียนเหมยยังคงแสดงออกถึงความดื้อรั้น ทำผิดพลาดและสร้างปัญหานับครั้งไม่ถ้วน เฉียนเจินต้องคอยช่วยเหลือนางอยู่ตลอดเวลา…
ในช่วงชีวิตที่มืดมน เด็กหญิงทั้งสองคนคอยช่วยเหลือกันและกัน
แม้แต่ตอนที่หวังจงมาขอซื้อตัวสาวรับใช้ไปจากหอนางโลม เฉียนเจินเป็นผู้ที่ถูกเลือกก่อน เฉียนเหมยไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่พ่อบ้านชราต้องการตัวแต่อย่างใด
และก็เป็นที่เฉียนเจินเกลี้ยกล่อมหวังจงได้สำเร็จ สุดท้าย พ่อบ้านชราจึงซื้อตัวพวกนางมาทั้งสองคน
แต่บัดนี้ ชีวิตของพวกนางเต็มไปด้วยแสงสว่างอันสวยงาม แล้วทำไมพี่สาวที่แสนดีอย่างเฉียนเจินจึงต้องมาพบเจอชะตากรรมที่แสนทรมานใจเช่นนี้ด้วย?
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเฉียนเหมยไม่หยุด
สายตาของนางพร่าเลือน
“เรารอคอยไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”
รุ่ยเอ๋อพูดเสียงดัง “รีบตัดสินใจเถอะเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น เราอาจจะช่วยเหลือไม่ได้ทั้งมารดาและทารก”
“เก็บทารกเอาไว้ เก็บทารก… เอาไว้”
เฉียนเหมยพูดด้วยความปวดร้าวใจ
รุ่ยเอ๋อถอนหายใจ กำลังจะเริ่มลงมือผ่าคลอด
แต่ทันใดนั้น บังเกิดแสงสว่างพุ่งลงมาจากหลังคาปกคลุมทั่วพื้นที่ของเตียงหลังใหญ่
กาลเวลาคล้ายกับหยุดชะงัก
เฉียนเหมยรู้สึกเพียงว่ามีพลังบางอย่างผลักนางออกไปจากข้างเตียง
เมื่อนางเงยหน้ามอง
ก็ไม่ทราบเลยว่ามีสตรีแปลกหน้าในชุดขาวมายืนอยู่ข้างเตียงนอนของเฉียนเจินตั้งแต่เมื่อไหร่
สตรีแปลกหน้าผู้นี้สวมใส่ชุดสีขาวราวหิมะ ร่างกายปลดปล่อยรัศมีที่น่าเคารพยำเกรงออกมา ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าคลุมหน้าสีขาว นางมีสง่าราศีไม่ต่างไปจากเทพธิดาผู้สูงส่ง
“เจ้าเป็นใคร?”
เฉียนเหมยระเบิดเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นก็โคจรพลังปราณเตรียมพร้อมต่อสู้
ค้อนเหล็กขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมือ
รุ่ยเอ๋อและกลุ่มหญิงสาวผู้ดูแลรีบล่าถอยไป
มีคนนอกบุกรุกเข้ามาในตำหนักที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้อย่างไร?
สุสานกษัตริย์แห่งนี้เป็นสถานที่ลับของหลินเป่ยเฉิน ไม่สมควรมีคนนอกบุกรุกเข้ามาได้เด็ดขาด
แต่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นสตรีแปลกหน้าในชุดขาวผู้นี้มาก่อน
และนางก็ไม่ได้สนใจผู้ใดทั้งสิ้น
นางหันกลับไปมองหน้าเฉียนเจินที่นอนอยู่บนเตียง
“ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าได้ทั้งแม่และลูก”
สตรีปริศนากล่าวเสียงดังกังวาน
บัดนี้ ทุกคนล้วนเห็นเต็มสองตาว่าเฉียนเจินผู้ถูกปกคลุมด้วยลำแสงสีขาวนั้น ฟื้นฟูพลังขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์ ใบหน้ามีเลือดสูบฉีด พลังวิญญาณกลับมาเป็นปกติดีแล้ว
“ขะ… ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
เฉียนเจินผู้อ่อนล้ากล่าวออกมาด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
หญิงปริศนากล่าวต่ออีกครั้ง “แต่ข้ามีข้อแม้”
“ข้อแม้อันใด?”
เฉียนเจินถาม
หญิงปริศนาตอบว่า “เมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว ข้าจะนำตัวนางไป”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”
เฉียนเจินปฏิเสธโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
เฉียนเหมยมีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาโดยทันที “เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าคิดอะไรอยู่? ข้านึกแล้วว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนดี”
หญิงปริศนายังคงไม่สนใจเฉียนเหมย นางจ้องมองเพียงเฉียนเจินที่นอนอยู่บนเตียงและกล่าวว่า “เจ้าลองคิดทบทวนดูให้ดี หลินเป่ยเฉินไม่มีทางกลับมาได้ทันเวลาอีกแล้ว หรือต่อให้เขากลับมาได้ เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้า เท่าที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ทารกในครรภ์นับว่าใจดีกับเจ้ามากแล้ว นางไม่ได้ดูดพลังของเจ้าไปจนหมด แต่หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทารกในครรภ์จะต้องตาย…”
เฉียนเจินนิ่งเงียบไปทันที
หยดน้ำตาใส ๆ ไหลออกมาจากหางตา
นางเองก็สัมผัสได้ว่าทารกในครรภ์ไม่ได้แข็งแรงเหมือนก่อนหน้านี้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ระหว่างพวกนางย่อมสามารถสื่อสารความรู้สึกกันได้เสมอ
“เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้าเข้ามาได้อย่างไร? อย่าได้โกหกเฉียนเจินอีก เจ้า… ย้ากกก!”
เฉียนเหมยคำรามด้วยความดุร้าย พยายามวิ่งเข้าไปแทรกกลางระหว่างเฉียนเจินกับหญิงปริศนาชุดขาว แต่แล้วนางก็ถูกคลื่นพลังที่มองไม่เห็นดีดสะท้อนกลับออกมา หลังจากนั้น เฉียนเหมยก็รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นปิดปากของนาง นางพยายามขัดขืนดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้จากคลื่นพลังเหล่านั้น
รุ่ยเอ๋อและกลุ่มแม่บ้านไม่ทันได้ตั้งตัว ทุกคนก็ตกอยู่ในพลังกดดันทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหญิงปริศนาชุดขาวผู้นี้มีความแข็งแกร่งเกินคาดคิด
และนางเพียงต้องการพูดคุยกับเฉียนเจินตามลำพังเท่านั้น
ความจริง เฉียนเจินสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ตัวนางเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“หากท่านจะพาตัวลูกของข้าไป ท่านก็ต้องพาตัวข้าไปด้วย”
เฉียนเจินจ้องมองหญิงปริศนาด้วยแววตามุ่งมั่น “ข้าเองก็อยากจะอยู่กับลูกของข้าเช่นกัน”
นางจะไม่มีวันทิ้งบุตรสาวในสายเลือดเด็ดขาด
เฉียนเจินเป็นเด็กที่ถูกครอบครัวทอดทิ้ง นางจึงรู้ดีถึงความรู้สึกอันมืดมนและโหดร้าย ต่อให้ต้องตาย นางก็ไม่อยากให้บุตรสาวต้องมีประสบการณ์สัมผัสกับความรู้สึกเหล่านั้น
สตรีปริศนานิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า “ตกลง”
เฉียนเจินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นับว่านางเป็นสตรีที่ฉลาดมากผู้หนึ่ง
เมื่ออีกฝ่ายยอมรับข้อเสนอนี้ เฉียนเจินก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าหญิงสาวปริศนาอาจจะไม่ได้ใจร้ายอำมหิตอย่างที่คิด
เฉียนเจินกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “ข้ายังมีข้อแม้อีกหนึ่งข้อ”
สตรีปริศนาในชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์เรียกร้องมากมายนักหรือ?”
เฉียนเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าหวังว่าก่อนที่พวกเราจะจากไป ข้าอยากจะให้บิดาของลูกน้อยได้เห็นหน้านางสักนิดก็ยังดี…”