เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1998 หวังจง
ตอนที่ 1,998 หวังจง
นี่คือการต่อสู้ระหว่างกองทัพกับเผ่าพันธุ์อสูรและเผ่ามนุษย์ทะเลทราย ในเมื่อศัตรูเป็นผู้ที่มีความเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม ฮันปู้ฟู่จึงเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนเองอาจจะต้องพบกับเรื่องราวเช่นนี้
ฮันปู้ฟู่ถึงกับเตรียมตัวตายแล้วด้วยซ้ำ
แต่ความเศร้าเสียใจเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือ ฮันซางเซียงผู้เป็นบุตรสาวไม่อาจรอดพ้นชะตากรรมในครั้งนี้ไปได้
แต่สิ่งที่ทำให้ฮันปู้ฟู่ดีใจก็คือน้องชายร่วมสาบานของเขาอย่างหลินเป่ยเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
ตราบใดที่หลินเป่ยเฉินยังอยู่ ทุกคนก็ยังมีความหวัง
เมื่อหลินเป่ยเฉินรับกองทัพเป่ยเฉินอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้มาร่วมรับชมการประลองในวันนี้ไปดูแลต่อ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็จะต้องทำให้กองทัพของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ฮันปู้ฟู่เชื่อมั่นว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถทำได้ดีกว่าตนเอง
เพราะว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จเสมอ
ในเมื่อยังมีเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่อีกทั้งคน แล้วฮันปู้ฟู่ยังจะต้องกลัวอะไรอีก?
“นักรบผู้กล้าทุกท่าน!”
ฮันปู้ฟู่สูดหายใจลึกและคำรามว่า “จงติดตามข้าออกไป… สู้ตายถวายชีวิต!”
ทันใดนั้น บรรดานายทหารในกองทัพเป่ยเฉินก็ยกอาวุธขึ้นเคาะชุดเกราะของตนเองพร้อมกับคำรามว่า “สู้ตายถวายชีวิต! สู้ตายถวายชีวิต! สู้ตายถวายชีวิต!”
ความมุ่งมั่นแรงกล้า
ความกล้าหาญกลมเกลียว
ไม่มีผู้ใดแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
บรรดาผู้รับชมการประลองอดตกตะลึงไม่ได้เมื่อเห็นภาพเหล่านี้
แม้กองทัพเป่ยเฉินจะรู้ดีว่าตนเองต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ขวัญกำลังใจของบรรดานายทหารก็ไม่ได้ลดน้อยลง นี่คือสิ่งที่กองทหารธรรมดาเทียบไม่ติด สมแล้วที่พวกเขาเป็นกองทัพในตำนาน กองทัพที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด
ราชาหยกขาวยิ้มเย้ยหยัน
“ฝูงมดปลวกต่ำต้อยเข้าใจว่าตนเองไร้ซึ่งความหวาดกลัว จิตใจสูงส่งยิ่งกว่าท้องฟ้า แต่ชีวิตบอบบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษเสียอีก”
เมื่อเห็นจิตวิญญาณนักสู้ของกองทัพเป่ยเฉิน ราชาหยกขาวก็ยิ่งเหยียดหยามมากกว่าเดิม “นับจากนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นเพียงฝุ่นผงในเส้นทางดาราจักร จะไม่มีผู้ใดรู้จักพวกเจ้าอีกต่อไป พวกเจ้าจะต้องตายกันทั้งหมด… จงตายซะ”
ฝ่ามือยักษ์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง
และเนื่องจากมีการตั้งค่ายกลค่ายอาคมเก้าดารา ฮันปู้ฟู่จึงไม่สามารถใช้วิชาการย้อนเวลาได้อีกแล้ว
กองทัพเป่ยเฉินคงไม่อาจหนีรอดความตายได้อีก
แต่พวกเขาก็ไม่ได้กลัว ทุกคนเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้าด้วยความภาคภูมิใจ
รอคอยความตายอย่างมีศักดิ์ศรี
ฮันปู้ฟู่พยายามรวบรวมพลังเพื่อต้านทานเป็นครั้งสุดท้าย
บัดนี้ ฝ่ามือยักษ์นั้นกดทับลงมาที่หัวไหล่ของเขาแล้ว
ฉับพลันนั้น แรงกดทับมหาศาลบนหัวไหล่ของฮันปู้ฟู่กลับสลายหายไป
เมื่อฮันปู้ฟู่เงยหน้ามอง เขาก็พบว่าไม่มีฝ่ามือยักษ์อยู่อีกต่อไปแล้ว มันสลายไปกลายเป็นเพียงหมอกควันในอากาศ
จากนั้นก็มีคลื่นพลังมหาศาลถาโถมออกมาจากทางด้านหลังของฮันปู้ฟู่ก่อนจะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“หากเจ้าตาย นายน้อยคงหักขาข้าแน่ ๆ”
เสียงที่แปลกประหลาดแต่คุ้นหูดังขึ้นข้างหูของฮันปู้ฟู่
ฮันปู้ฟู่สะดุ้งเฮือก
หันไปมองด้วยความเหลือเชื่อ
เขาเห็นเคราแพะสามแฉก
เป็นหวังจง
พ่อบ้านหวังจง
พ่อบ้านหวังจงผู้ขี้ขลาดตาขาว
พ่อบ้านหวังจงผู้ประจบประแจงหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงอย่างเดียว
พ่อบ้านหวังจงผู้เป็นคนธรรมดาจากแผ่นดินตงเต้า
แต่เขาก็มีอีกหนึ่งตำแหน่งคือรองผู้บัญชาการหน้าหยกหวังจง
ชายชราร่างอ้วนเตี้ยผู้มักจะส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามผู้อื่น และนอกจากการประจบเอาใจหลินเป่ยเฉินแล้ว เขาก็ไม่เก่งเรื่องอื่นอีกเลย
และ…
หวังจงก็ยังเป็นเจ้าของคลื่นพลังมหาศาลที่กำลังพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในขณะนี้อีกด้วย!
พลังกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากร่างกายของหวังจง
พ่อบ้านชรายืนอยู่ด้านหลังฮันปู้ฟู่ สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะนี้ หวังจงมีทั้งสง่าราศี ความน่าเกรงขามและความทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเปลี่ยนไปคล้ายกับเป็นคนละคน
ไม่ต่างไปจากยอดฝีมือที่เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาหลังจากหลับใหลยาวนานหลายพันปี
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของกองทัพเป่ยเฉิน กองทัพอสูรโลหิตหรือบรรดาผู้ชม ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปกับความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ชายชราร่างอ้วนผู้นั้น…
เป็นใครกันหรือ?
คำถามนี้ปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้คน
อย่าบอกนะว่ากองทัพเป่ยเฉินยังคงมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่อีก?
จอมทัพอสูรขวานทองป่าเต๋อและผู้ดูแลสุสานอวี้ตี่หันมองหน้ากันด้วยความไม่อยากเชื่อ
ก่อนที่พวกเขาจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
การปรากฏตัวของชายชราร่างอ้วนผู้นี้คือสิ่งที่ช่วยชีวิตทั้งสองคนเอาไว้
เพราะพวกเขาทราบดีว่าหากราชาหยกขาวสามารถฆ่าฮันปู้ฟู่ได้สำเร็จ เป้าหมายต่อไปที่ราชาหยกขาวจะมาเล่นงานก็คือพวกตน
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่ตกตะลึงมากที่สุดในเวลานี้ย่อมต้องเป็นราชาหยกขาว
“ยังมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่อีกสินะ”
ดวงตาของเขาเป็นประกายโกรธแค้น ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยัน “แสดงว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้ยึดถือกฎกติกาอันใดนักหนาเช่นกัน หากพวกเจ้าพบว่าตนเองแพ้การประลอง เจ้าก็คงนำยอดฝีมือที่เตรียมเอาไว้ออกมาเล่นงานพวกข้าอยู่ดีใช่หรือไม่?”
นี่นับว่าเป็นโจรร้ายว่ากล่าวผู้อื่นเป็นหัวขโมยที่แท้จริง
“ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน”
ฮันปู้ฟู่หัวเราะในลำคอ
แม้แต่ผู้รับชมการประลองก็รู้สึกเช่นกันว่าคำพูดของราชาหยกขาวนั้นไร้ยางอายมากเกินไป และพวกเขาก็รู้สึกอยากจะตบสั่งสอนราชาหยกขาวสักหลายฉาด
“ต้องยอมรับเลยว่าพวกเจ้าเตรียมการเอาไว้ได้ดีมาก”
ราชาหยกขาวหัวเราะเยาะอีกครั้ง “แต่น่าเสียดายที่พวกข้าก็เตรียมตัวดีไม่แพ้กัน มิฉะนั้น วันนี้ข้าคงต้องพ่ายแพ้ให้แก่พวกเจ้าอย่างแน่นอน”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราชาหยกขาวก็จะปล่อยให้เผ่ามนุษย์ทะเลทรายเสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด
ในอนาคต การประลองวันนี้จะเป็นที่โจษจันไปชั่วลูกชั่วหลาน
แต่อุปสรรคขัดขวางใหญ่ที่สุดในเวลานี้ก็คือ ชายชราร่างอ้วนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยผู้นี้
“เจ้าเป็นผู้ใดมาจากไหน?”
ราชาหยกขาวกวาดสายตาสำรวจมองหวังจงตั้งแต่ศีรษะจรวดปลายเท้า เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังกดดันรุนแรง ราชาหยกขาวก็กล่าวต่อไปว่า “นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างเผ่ามนุษย์ทะเลทรายกับกองทัพเป่ยเฉิน เจ้าไม่สมควรยื่นมือเข้ามาแทรกแซง อย่าได้ตัดสินใจผิดพลาด ถอยไปซะ”
“ฮ่า ๆๆ”
หวังจงหัวเราะด้วยความขบขัน
เขาก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าวอย่างเชื่องช้าและยืนอยู่เบื้องหน้าฮันปู้ฟู่
“เด็กเอ๋ยเด็กน้อย เจ้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองนักหรือ? ต่อให้เจ้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ข้าก็เห็นเป็นมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่เจ้ามีสถานะเป็นเพียงร่างแยก ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน” หวังจงจ้องมองราชาหยกขาวด้วยความดูถูกดูแคลน “เอาเป็นว่าข้าจะให้โอกาสกับเจ้าสักครั้ง จงคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากผู้สืบสายเลือดผู้ท่องกาลเวลาท่านนี้ซะ มิฉะนั้นแล้ว…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หวังจงก็หยุดลงกะทันหัน
และไม่พูดคำใดอีกเลย
ทุกสายตาจ้องมองไปที่ชายชราร่างอ้วน
ฮันปู้ฟู่ก็รอคอยประโยคต่อไปเช่นกัน
แต่หวังจงเพียงหันมองรอบกาย คล้ายกับกำลังระมัดระวังอะไรบางอย่าง
หรือว่ามียอดฝีมือจากฝ่ายศัตรูกำลังจะปรากฏตัวขึ้น?
ฮันปู้ฟู่หัวใจกระตุกวูบ
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือขอรับ?”
เขาอดถามไม่ได้
หวังจงกระซิบตอบว่า “ข้ารู้สึกว่าอีกเดี๋ยวนายน้อยก็จะปรากฏตัวขึ้นมาแล้วน่ะสิ”