เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1999 วิชาสี่คำนับ
ตอนที่ 1,999 วิชาสี่คำนับ
หวังจงจำฝังใจว่าทุกครั้งที่เขากำลลังจะแสดงฝีมือ นายน้อยก็มักจะปรากฏตัวขึ้นมาขัดจังหวะอยู่เสมอ
นี่คือความรู้สึกที่ฝังลลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก
เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
เกิดขึ้นมากมายเกินไป
ดังนั้น เมื่อขณะนี้หวังจงจะแสดงฝีมือที่แท้จริง เขาจึงอดวิตกกังวลลขึ้นมาไม่ได้
แต่หลลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาตามที่เป็นกังวลล
เฮ้อ!
โลล่งอกไปที
ครั้งนี้ หวังจงจะได้แสดงพลลังที่แท้จริงของตนเองแลล้ว
เขาหันกลลับไปจ้องมองราชาหยกขาวแลละกลล่าวว่า “มิฉะนั้น เจ้าจะต้องตายอย่างไร้หนทางหวนคืน”
“ฮ่า ๆๆ ช่างจองหองเสียเหลลือเกิน”
ราชาหยกขาวแสยะยิ้มด้วยความโกรธแค้น “เป็นเพียงสุนัขข้างถนนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เจ้ากลล้าดูหมิ่นค่ายอาคมเก้าดาราเชียวหรือ? ความจริง ข้าไม่อยากจะปะทะฝีมือกับเจ้าเลลย แต่ในเมื่อเจ้ารนหาที่ถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะเถอะ… วิชาฝ่ามือสยบมัจจุราช!”
ทะเลลแห่งดวงดาวเกิดการสั่นไหว
มวลลอากาศปั่นป่วน
ค่ายอาคมเก้าดาราระเบิดพลลังออกมาอย่างรุนแรง
พลลังสังหารกดทับลลงมาบนบ่าของหวังจง
ตามด้วยฝ่ามือหยกขาวที่สามารถทำลลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ฝ่ามือขนาดใหญ่ยักษ์กดทับลลงมาบนหัวไหลล่ของหวังจง
พ่อบ้านชราย่อกายลลง
เขาค่อย ๆ โน้มตัวมาด้านหน้า…
คลล้ายกับว่าไม่สามารถรับน้ำหนักได้อีกต่อไปแลละถูกบังคับให้ก้มศีรษะคำนับฝ่ายตรงข้าม
ผู้คนเพียงคิดว่าที่แท้หวังจงก็มีดีแต่ปาก หาได้มีฝีมือที่แท้จริงไม่…
แต่จังหวะที่เขาโค้งตัวลลงไปด้านหน้านั้นเอง พ่อบ้านชราก็พึมพำออกมาว่า “คำนับฟ้าดิน”
ตู้ม!
ฝ่ามือยักษ์พลลันแตกกระจายไปทันที
“คำนับบรรพบุรุษ!”
หวังจงโค้งคำนับอีกครั้ง
ตู้ม!
ค่ายอาคมเก้าดาราถูกระเบิดกระจายไปในทันตา
“คำนับมวลลมนุษย์!”
หวังจงโค้งตัวก้มศีรษะคำนับอีกครั้ง
ตู้ม!
ร่างของราชาหยกขาวระเบิดเป็นฝุ่นผง โลลหิตสาดกระเซ็นในอากาศ เลลือดเนื้อกระจัดกระจาย
“เป็นเจ้า…”
เสียงกรีดร้องดังกังวานทั่วแผ่นฟ้า
ราชาหยกขาวถูกระเบิดเพียงร่างกาย แต่วิญญาณของเขายังคงอยู่ ราชาหยกขาวจึงสามารถรวมร่างกลลับขึ้นมาใหม่ได้ในพริบตา
แต่สภาพของชายชราในขณะนี้น่าอนาถใจยิ่งนัก โครงร่างของเขาพร่าเลลือน ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่ต่างจากขอทานข้างถนน ไม่มีสง่าราศีของชนชั้นยอดฝีมือสักนิด แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเต็มไปด้วยความตื่นกลลัว…
นี่คือสภาพที่แท้จริงของราชาหยกขาว
หวังจงยังคงไม่หยุด
เขาคำนับต่อไป
“คำนับวิญญาณแลละเทพเจ้า!”
หวังจงกลล่าวออกมาอีกครั้ง
เมื่อสิ้นประโยคนั้น ร่างของราชาหยกขาวก็มีเปลลวไฟลลุกพรึ่บ
“นี่มันอะไรกัน…”
ราชาหยกขาวระเบิดเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้น “อย่าบอกนะว่าเจ้าคือบรรพบุรุษของผู้ใช้สายเลลือดจอม….”
เสียงของราชาหยกขาวขาดหายไป
เพราะร่างกายของเขาถูกเผาไหม้กลลายเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่งไปเรียบร้อยแลล้ว
ผู้คนจำนวนมากที่รับชมการต่อสู้ในครั้งนี้สูญเสียความสามารถในการพูดแลละความสามารถในการใช้ความคิดไปชั่วขณะ
ตอนที่หวังจงก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อช่วยเหลลือกองทัพเป่ยเฉิน ผู้คนจำนวนมากย่อมรู้ดีว่าพ่อบ้านชราร่างอ้วนน่าจะเป็นเสือซ่อนเลล็บมังกรซ่อนเขี้ยว เป็นหนึ่งในสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถเพียงพอในการรับมือราชาหยกขาว
แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลลยว่าการต่อสู้จะจบลลงเช่นนี้
เพียงคำนับสี่ครั้งก็สามารถทำลลายลล้างศัตรูได้แลล้ว
แลละสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ บนดวงดาวที่อยู่ห่างไกลลออกไปดวงหนึ่ง ภายในวิหารลลอยฟ้าที่ลลอยตัวอยู่เหนือกลลุ่มก้อนเมฆ เสียงกรีดร้องได้ดังกังวานไปทั่ววิหาร บรรดาองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูวิหารต่างก็รีบเข้าไปดูด้วยความตื่นตกใจ แลละพวกเขาก็ได้เห็นว่าหนึ่งในยอดฝีมือสูงสุดของเผ่ามนุษย์ทะเลลทรายได้แหลลกสลลายกลลายเป็นเถ้าถ่าน ชีวิตดับสิ้นไปจากโลลกนี้ตลลอดกาลล
ย้อนกลลับมาที่สังเวียนประลลองในอาณาจักรเหนียนเซียง
ผู้คนไม่ทราบเลลยว่าเกิดอะไรขึ้นในวิหารลลอยฟ้าแห่งนั้น
แต่สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือเผ่ามนุษย์ทะเลลทรายแลละกองทัพอสูรโลลหิตได้รับความเสียหายใหญ่หลลวงจริง ๆ
ราชาหยกขาวตายอย่างไม่อาจฟื้นคืน
ถูกทำลลายสิ้นทั้งร่างกายแลละวิญญาณ
แม้แต่วิญญาณบรรพบุรุษที่ครอบครองร่างของราชาหยกขาวก็คงไม่รอดพ้นชะตากรรมเช่นกัน
ดวงตาทุกคู่จ้องมองมาที่หวังจง
บัดนี้ พ่อบ้านชราผู้มีรูปร่างอ้วนเตี้ยกลลับกลลายเป็นวีรบุรุษผู้สูงส่งไม่ต่างจากเทพเจ้าในสายตาของผู้คน
“เฮอะ ความจริงข้าก็อยากจะสู้กับเจ้าอย่างยุติธรรมนั่นแหลละนะ แต่ในเมื่อเลลือกที่จะเป็นคนชั่ว ก็ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาดเช่นนี้เอง ต่อให้เจ้ามีพลลังค้ำฟ้า ก็ไม่ต่างจากมดปลลวกตัวหนึ่งอยู่ดีเมื่อมาพบกับข้า”
หวังจงกลล่าวเสียงเรียบ
ฮันปู้ฟู่เบิกตาโต
จอมทัพอสูรป่าเต๋อแลละผู้ดูแลลสุสานอวี้ตี่ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดเช่นกัน
นี่พวกเขากำลลังถูกเหยียดหยามอยู่ใช่หรือไม่?
แต่หวังจงไม่ได้ใส่ใจสิ่งใดอีกแลล้ว
พ่อบ้านชรากลลับมามีท่าทางสงบสุขุม
เขาไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับสิ่งใดทั้งสิ้น
ความรู้สึกของการที่ได้ระเบิดพลลังออกมาโดยไม่ถูกขัดจังหวะมันดีเช่นนี้เอง
แลละถ้อยคำโอ้อวดของเขานั้น โชคดีที่นายน้อยไม่ได้ยิน
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลลือข้าน้อยขอรับ”
ฮันปู้ฟู่ก้าวออกมาข้างหน้าประสานมือคำนับขอบคุณด้วยความตกตะลลึง
แต่ในเวลลาเดียวกันนี้ ฮันปู้ฟู่ก็เริ่มสงสัยอยู่ในหัวใจว่าหวังจงมีพลลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของเส้นทางดาราจักรที่แท้จริง แลล้วทำไมถึงต้องมาเป็นพ่อบ้านคอยรับใช้อยู่กายให้หลลินเป่ยเฉินโขกสับไปวัน ๆ ด้วย?
หรือว่าตัวตนของหลลินเป่ยเฉิน…
เมื่อความคิดดำเนินมาถึงตรงนี้ ฮันปู้ฟู่ก็รีบตั้งสติทันที
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เขาก็เชื่อมั่นในตัวของน้องชายร่วมสาบานเสมอ
“ฮ่า ๆๆ คุณชายฮันเกรงใจเกินไปแลล้ว”
หวังจงโบกไม้โบกมือเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “นี่แค่เรื่องเลล็กน้อยเท่านั้น ท่านเป็นคนที่นายน้อยห่วงใยมากที่สุด ข้าจะปลล่อยให้ท่านถูกผู้อื่นรังแกต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก... อีกอย่างราชาหยกขาวก็สมควรตายอยู่แลล้ว แต่ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนเลลยนะว่า หากท่านคิดจะมาประจบเอาใจเพราะหวังจะเป็นผู้ติดตามของข้า นั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
ฮันปู้ฟู่กะพริบตาปริบ ๆ
“ข้าน้อยมิบังอาจ”
ฮันปู้ฟู่ประสานมือคำนับด้วยความสุภาพอ่อนน้อมอีกครั้ง
“ท่านมีอะไรต้องทำก็กลลับไปทำเถอะ”
พลลังกดดันอันหนักหน่วงพลลันสลลายออกไปจากร่างกายของหวังจง ไม่ต่างจากผายลลมที่สายลลมพัดผ่านหายไป
หวังจงกลลับมาเป็นพ่อบ้านชราผู้ขี้ขลลาดคนเดิม
“จี๊ด”
อากวงหันกลลับมาจ้องมองหวังจงตั้งแต่ศีรษะจรดปลลายเท้า
เซียวปิงรีบวิ่งเข้ามาจับมือหวังจงด้วยความตื่นเต้น “พ่อบ้านหวัง นับจากนี้เป็นต้นไป ท่านคือพี่ชายร่วมสาบานของข้า…”
หวังเฟิงหลลิวผู้ยืนอยู่ด้านข้างพยายามรักษาท่าทีสงบสุขุมของตนเอง แต่ในใจกำลลังคิดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องว่า ‘เห็นไหมลล่ะ นี่แหลละนายท่านของข้า ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงแห่งเส้นทางดาราจักร ข้ารู้ตั้งนานแลล้ว เพียงแต่พวกเจ้ามีสายตาต่ำต้อยมองไม่เห็นกันเอง… ช่างน่าขำยิ่งนัก’
หวังจงรีบแกะมือเซียวปิงออกทันที “คุณชายเซียว ท่านอยากให้ข้าเดือดร้อนหรือ?”
เซียวปิงเป็นน้องชายร่วมสาบานของนายน้อย แต่เซียวปิงอยากจะให้เขาเป็นพี่ชายร่วมสาบานด้วยเนี่ยนะ?
หากนายน้อยไม่พอใจขึ้นมาจะทำอย่างไร?
เซียวปิงนิ่งคิดอะไรบางอย่างเลล็กน้อย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แลละกลล่าวถามด้วยความลลังเลลใจว่า “ถ้าอย่างนั้น… ท่านมาเป็นท่านลลุงบุญธรรมให้แก่ข้าได้หรือไม่?”