เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2001 พี่หวัง
ตอนที่ 2,001 พี่หวัง
เดิมที เขาอยากจะถามข้อมูลเกี่ยวกับสุสานกษัตริย์จากพี่สาวตาบอด เพราะอยากจะทราบว่ามีคนนอกสามารถบุกรุกเข้าไปในสุสานกษัตริย์ตามใจชอบได้อย่างไร เพราะบัดนี้ สุสานกษัตริย์ได้รับการคุ้มครองโดยค่ายอาคมที่หลินเป่ยเฉินเป็นคนวางระบบเองกับมือ สตรีชุดขาวผู้นั้นจึงไม่น่าจะบุกรุกเข้าไปได้เด็ดขาด นี่จึงทำให้หลินเป่ยเฉินสงสัยว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นอาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสุสานกษัตริย์ก็เป็นได้ ค่ายอาคมเหล่านั้นจึงไม่สามารถสกัดขัดขวางนางได้ตามที่ควรจะเป็น
แต่บัดนี้ เมื่อพี่สาวตาบอดตายแล้ว ส่วนเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็อารมณ์ไม่ดี หลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถสอบถามอะไรได้อีก
ในเวลาเดียวกันนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินจึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันใด
หาได้ยากนักที่นางจะแสดงความห่วงใยเขาถึงเพียงนี้
หลังจากลังเลเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็บอกเล่าเรื่องราวที่เฉียนเจินและบุตรสาวถูกลักพาตัวไป
“คิดไม่ถึงเลยว่าในชีวิตนี้ข้าช่วยเหลือผู้คนมากมาย แต่สุดท้าย ข้ากลับไม่อาจปกป้องภรรยาและบุตรสาวของตนเองได้…” หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “เผ่าพันธุ์ปีศาจของท่านมีช่องทางสืบข่าวกว้างขวาง ช่วยสืบให้หน่อยสิว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นเป็นใคร ข้าต้องการเบาะแสเกี่ยวกับเฉียนเจินและรั่วซู หากท่านทราบข่าวอันใด โปรดรีบบอกข้าโดยเร็วที่สุด หากท่านต้องการคิดเงิน ข้าก็ยินดีจ่าย”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่ตอบรับคำใดเนิ่นนาน
หลังจากนั้น นางก็กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “ได้สิ ข้าจะช่วยหาข่าวให้”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะและพูดว่า “ขอบคุณท่านมาก... ไม่ทราบว่าพี่สาวตาบอดมีญาติสนิทหรือมิตรสหายบ้างหรือไม่? ข้าอยากจะชดใช้ให้แก่พวกเขา”
“ไม่มี นางตัวคนเดียวมานานแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบ
หลินเป่ยเฉินยิ่งเศร้าโศกมากกว่าเดิม
นับตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาอยู่โลกแห่งวรยุทธ์ ความโดดเดี่ยวคือรสชาติเดียวที่เขาสามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดที่สุด
และพี่สาวตาบอดก็มีบุญคุณกับเขามากมาย
แต่วันนี้ นางต้องมาถึงแก่ความตายโดยที่หลินเป่ยเฉินยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณแม้แต่น้อย
หลังจากวางสาย หลินเป่ยเฉินก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอีกพักใหญ่
หลังจากนั้น เขาจึงเรียกหวังจงมาเข้าพบ
“พี่หวัง”
หลินเป่ยเฉินเรียกหาด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตน “ท่าน.…”
“นายน้อยเรียกบ่าวว่าพ่อบ้านหวังเหมือนเดิมเถอะขอรับ หรือจะเรียกบ่าวเป็นสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่เป็นไร”
หวังจงโค้งคำนับและยิ้มแย้มอย่างประจบประแจง
“แหม ท่านเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ของข้าเสมอมา ท่านเอ็นดูข้าเหมือนบุตรแท้ ๆ ของตนเอง แล้วข้าจะเรียกท่านหยาบคายเช่นนั้นได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแข็งขัน “พี่หวัง ได้ยินมาว่าครั้งนี้ท่านแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา วิชาสี่คำนับของท่าน…”
“นายน้อยอยากฝึกไหมขอรับ?”
หวังจงยิ้มประจบเอาใจและกล่าวว่า “บ่าวจะสอนให้แก่นายน้อยเอง”
หลินเป่ยเฉินเกือบจะพูดคำใดไม่ออกอีกแล้ว
ตกลงหวังจงเป็นยอดฝีมือจากยุคโบราณจริงหรือเปล่าเนี่ย?
“ข้าอยากสอบถามท่าน ไม่ทราบว่าพี่หวังเรียนวิชานี้มาจากผู้ใดหรือ… แล้วตัวตนที่แท้จริงของท่านเป็นผู้ใดกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกไปไม่ได้
หวังจงถอนหายใจหนักหน่วงและตอบว่า “เฮ้อ เพราะเหตุการณ์ในวันนี้ บ่าวจึงต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเสียแล้ว… นายน้อยขอรับ ในบรรดาบรรพบุรุษยี่สิบสี่สายเลือดหลัก นายน้อยคิดว่าบ่าวเป็นบรรพบุรุษสายเลือดใด?”
บัดซบ ข้าถามคำถามเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ให้เจ้ามาถามกลับสักหน่อย!
หลินเป่ยเฉินสบถอยู่ในใจแต่ปากยิ้มแย้มตอบกลับไปว่า “พี่หวังมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต้องเป็นบรรพบุรุษแห่งสายเลือดจอมเวทเป็นแน่แท้”
หวังจงพยักหน้าและกล่าวว่า “กราบเรียนนายน้อย ชื่อที่แท้จริงของบ่าวไม่ใช่หวังจง”
“แล้วท่านมีนามว่าอันใด?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
ความภาคภูมิใจฉายชัดบนใบหน้าของหวังจงวูบหนึ่ง กล่าวว่า “บ่าวมีนามว่าหวังหยงจง”
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดคำใดไม่ออก
ชื่อปลอมกับชื่อจริงมันแทบไม่ต่างกันเลยไม่ใช่หรือ?
ช่างเป็นชื่อปลอมที่วิเศษนัก
แค่ตัดชื่อจริงออกไปพยางค์เดียว ก็ได้ชื่อใหม่แล้ว
ช่างมักง่ายเหลือเกิน
“หากนายน้อยอยากรู้ว่าบ่าวเป็นผู้ใด ลองค้นหาชื่อของบ่าวดูก็ได้ แล้วนายน้อยจะทราบทุกอย่างเองขอรับ”
หวังจงยิ้มและกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
“ได้สิ”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง “วิชาสี่คำนับที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่ ไม่ทราบว่าพี่หวัง…”
“นี่คือคัมภีร์ขอรับ”
หวังจงรีบนำคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “บ่าวคำนวณจากพรสวรรค์ของนายน้อยแล้ว ใช้เวลาไม่เกินสองปี นายน้อยต้องบรรลุเคล็ดวิชานี้อย่างแน่นอน”
ส่งมอบคัมภีร์กันง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ?
คงไม่ได้หลอกลวงกันหรอกนะ?
หลินเป่ยเฉินรับคัมภีร์เก่าแก่มาเปิดดูและพบว่าข้างในเต็มไปด้วยลายมือและสัญลักษณ์มากมาย
“หากนายน้อยไม่มีสิ่งใดแล้ว บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ไม่มีปัญหา เชิญพี่หวังกลับไปพักผ่อนเถอะ”
หวังจงหมุนตัวเดินออกไป
หลินเป่ยเฉินนั่งใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ คนเดียวพักใหญ่ ก่อนจะส่งข้อความไปหานักพรตหญิงชินที่อยู่ในสำนักศึกษาฉิวจื่อ และขอให้นางช่วยสืบค้นความเป็นมาของคนที่ชื่อว่า ‘หวังหยงจง’ ให้กับเขา
“ได้สิ”
นักพรตหญิงชินส่งข้อความตอบกลับมา
และไม่นานหลังจากนั้น นางก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็วว่า…
‘หวังหยงจง คือหนึ่งในบรรพบุรุษผู้บุกเบิกยี่สิบสี่สายเลือดหลักของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาคือบรรพบุรุษของสายเลือดจอมเวท เป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์…’
เมื่อเห็นข้อความปรากฏขึ้นบนหน้าจอ หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับตกตะลึงไปทันที
แม้เขาจะพอเดาได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของหวังจงต้องไม่ธรรมดา แต่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าหวังจงจะมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
ตัวตนที่แท้จริงของหวังจงนั้นน่ากลัวเกินไป
เป็นถึงหนึ่งในบรรพบุรุษผู้บุกเบิกยี่สิบสี่สายเลือดหลัก
มีสถานะเป็นรองก็แต่เพียงองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
เรียกได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งเส้นทางดาราจักรอย่างแท้จริง
และนี่ก็ทำให้เกิดคำถามใหญ่ตามมา
เหตุใดผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนจุดสูงสุดของยอดพีระมิดเช่นนี้จึงต้องมาเป็นคนรับใช้ข้างกายเขาด้วย?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา หวังจงคอยประจบเอาใจหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น
“หรือว่าตัวตนที่แท้จริงของเราก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน?”
หากเขาเป็นบุคคลธรรมดา แล้วหวังจงจะมาคอยรับใช้อยู่ข้างกายเพื่ออะไร?
ในโลกใบนี้ มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่หวังหยงจงผู้บุกเบิกสายเลือดจอมเวทจะยอมรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ถึงเพียงนี้…
องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์!
“หรือว่า… เฮ้ย ไม่หรอกมั้ง เราจะเป็นองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กลับชาติมาเกิดได้ยังไง องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตายเลยด้วยซ้ำ ว่ากันว่าเขายังเก็บตัวอยู่ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อยู่เลยนี่นา”
หลินเป่ยเฉินยกมือเกาศีรษะที่มีแต่เส้นผมสีขาวโพลน นี่คือปัญหาที่ไม่ว่าคิดหาคำตอบอย่างไร เขาก็ยังไม่พบเจอคำตอบอยู่ดี