เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 2003 อาณาจักรเกิงจิน
ตอนที่ 2,003 อาณาจักรเกิงจิน
อาณาจักรเกิงจิน
ระบบดาวเคราะห์ฉีจือลู่
ด้วยความที่ระบบดาวเคราะห์แห่งนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของบรรพบุรุษผู้ใช้สายเลือดผู้แปรธาตุ อาณาจักรเกิงจินจึงถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงของผู้ใช้สายเลือดผู้แปรธาตุไปโดยปริยาย
และจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเกิงจินก็เป็นผู้สืบสายเลือดโดยตรงของบรรพบุรุษแห่งผู้ใช้สายเลือดผู้แปรธาตุ
จักรพรรดิองค์นี้จึงมีอิทธิพลกว้างขวางในวงการผู้แปรธาตุ
และตัวเขาเองก็เป็นผู้แปรธาตุที่อยู่ในขอบเขตจอมเทพอนันต์ชั้นสูง
กล่าวโดยรวมก็คือ ในระบบดาวเคราะห์ทั้งมวลของเส้นทางดาราจักร อาณาจักรเกิงจินและระบบดาวเคราะห์ฉีจือลู่จึงเป็นสถานที่ที่มีความสงบสุขและมั่นคงมากที่สุด
แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกิดข่าวลือว่าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกิงจินล้มเหลวในการเลื่อนขั้นพลัง ส่งผลให้ขั้นพลังเสื่อมถอยลง จึงควบคุมผู้คนให้อยู่ใต้อำนาจเช่นเดิมได้ยากขึ้นอีก และในเวลาเดียวกันนี้ ก็ปรากฏยอดอัจฉริยะเชื้อพระวงศ์ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ ‘องค์ชายหลง’ ซึ่งสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรในแวดวงผู้แปรธาตุรุ่นใหม่ องค์ชายหนุ่มผู้นี้จึงถือเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อบัลลังก์ของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกิงจินองค์ปัจจุบัน
เมื่อปีที่แล้ว องค์จักรพรรดิจึงได้ตัดสินใจรับตัวเด็กสาวปริศนาผู้ถูกเรียกขานในฉายานามว่าองค์หญิงไข่มุกขาวเข้าสู่ราชวงศ์ ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมาก หลายคนตั้งคำถามกับสายเลือดของเด็กสาวผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นี้ แต่สุดท้ายองค์จักรพรรดิก็แต่งตั้งนางขึ้นรับตำแหน่งองค์หญิงโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใด ๆ
และเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ในสำนักฝึกสอนผู้แปรธาตุหลวงได้เกิดเหตุการระเบิดของเครื่องมือเล่นแร่แปรธาตุครั้งใหญ่ ส่งผลให้มีผู้คนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บสาหัสและบางคนก็ถึงขั้นเสียชีวิต
องค์จักรพรรดิเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน
บัดนี้ พระองค์กำลังรักษาตัวโดยมีหมอหลวงดูแลอย่างใกล้ชิด
แต่ครึ่งเดือนก่อน เผ่าอสูรสีครามได้ประกาศสงครามต่ออาณาจักรเกิงจินอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
เปลวไฟสงครามปะทุขึ้น และภายในระยะเวลาครึ่งเดือนเท่านั้น เส้นทางการโคจรของอาณาจักรเกิงจินก็ถูกตัดขาดถึงหกสาย และดาวเคราะห์ภายใต้การปกครองของพวกเขาก็ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก
บัดนี้ อาณาจักรเกิงจินจึงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทั้งภายในและภายนอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เรื่องราวภายในราชวงศ์ของพวกเขานั้น คู่ปรับคนสำคัญของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็คือองค์ชายหลง ว่ากันว่าองค์ชายหลงกดดันให้องค์จักรพรรดิมอบบัลลังก์ให้แก่ตนเองอย่างหนักและตัวแทนจากสภาขุนนางจากดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในระบบก็ลงนามเห็นชอบกันหมดสิ้นแล้วขอรับ… พระองค์พยายามแก้ปัญหาด้วยการรับเลี้ยงดูองค์หญิงไข่มุกขาว ซึ่งมีข่าวลือว่านางเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอย่างหาตัวจับยาก แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่านี่เป็นความจริงหรือไม่”
บนเรือเหาะเซียนกระบี่อมตะ หวังเฟิงหลิวบอกข้อมูลที่กองโจรกระบี่อวตารของตนเองสืบทราบมาให้หลินเป่ยเฉินรับฟังด้วยความเคารพ
บัดนี้ เรือเหาะของพวกเขากำลังมาต่อแถวเพื่อรอการใช้งานจุดทิ้งสมอ
หลังจากผ่านการเดินทางด้วยความเร็วเต็มอัตราห้าวันห้าคืน ในที่สุด พวกเขาก็กำลังจะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
เมื่อผ่านจุดทิ้งสมอเบื้องหน้านี้ไป เรือเหาะเซียนกระบี่อมตะก็จะเข้าสู่พื้นที่เขตชายแดนของระบบดาวเคราะห์ฉีจือลู่ในทันที
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเหาะและจ้องมองออกไป
บัดนี้ มีเรือเหาะจำนวนมากต่อแถวยาวเหยียดเพื่อเข้ารับการใช้งานจุดทิ้งสมอ
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่บนเรือเหาะเหล่านี้คงถูกดึงดูดใจมาด้วยข่าวคราวเรื่องการเลือกคู่ครองขององค์หญิงไข่มุกขาวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักรบยอดฝีมือ บรรดาผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ หรือเหล่าคหบดีผู้มั่งคั่งทรัพย์สินจากทุกสารทิศของเส้นทางดาราจักร ทุกคนต่างก็อยากมีส่วนร่วมในการประลองครั้งนี้ บางคนอาจจะอยากมาเผชิญกับโลกกว้าง บางคนอาจจะอยากมาฉกฉวยโอกาสในการทำธุรกิจ…
“คนพวกนี้ไม่กลัวสงครามบ้างหรือไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหน เมื่อมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ผู้คนก็ไม่กลัวตายอีกแล้ว
หวังเฟิงหลิวรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “นี่เป็นเพราะว่าเผ่าอสูรสีครามได้ประกาศขอสงบศึกชั่วคราวขอรับ เพราะว่าพวกมันก็ส่งตัวแทนเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้เช่นกัน”
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้รับฟังคำตอบดังนั้น ใบหน้าของเขาก็กระตุกขึ้นมาทันที
เชี่ย เจ้าอสูรพวกนั้นคิดอยากจะแย่งคนรักของเขาไปหรือ?
ต้องฆ่าทิ้งให้หมด!
อีกสองชั่วยามผ่านไป
เรือเหาะเซียนกระบี่อมตะผ่านจุดทิ้งสมออย่างราบรื่น และพวกเขาก็มาถึงพื้นที่ชายแดนของระบบดาวเคราะห์ฉีจือลู่เรียบร้อยแล้ว
องค์ชายหลิงหวงฉีถึงกับมารอต้อนรับพวกของหลินเป่ยเฉินด้วยตนเอง
“อ้าว ท่านลุงมาต้อนรับข้าน้อยด้วยตนเองเลยหรือขอรับ? ข้าน้อยต้องรบกวนท่านลุงมากแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มพร้อมกับโค้งคำนับทักทาย
องค์ชายหลิงหวงฉีจ้องมองหลินเป่ยเฉินพร้อมกับเดินเข้ามาหาด้วยความโล่งใจ แต่เมื่อสังเกตเห็นสีผมของเขา องค์ชายหลิงหวงฉีก็ต้องถามด้วยความประหลาดใจว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผมของเจ้า?”
“อ้อ เป็นข้าน้อยเมื่อได้ยินข่าวการประลองครั้งนี้ก็เกิดความวิตกกังวลมากเกินไป ส่งผลให้เส้นผมกลายเป็นสีขาวในชั่วข้ามคืนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบอย่างคล่องแคล่ว
องค์ชายหลิงหวงฉีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก
เขามีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นก่อนจะสำรวจมองหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกหลายครั้ง สุดท้ายก็กล่าวว่า
“ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการพูดคุย เจ้าไปที่เรือเหาะของข้าเถอะ ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า”
เมื่อมีองค์ชายหลิงหวงฉีนำทาง การเดินทางในส่วนที่เหลือก็ราบรื่นไร้อุปสรรค
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามให้หลัง พวกเขาก็มาถึงเมืองเหลียนจินฉู่
นี่คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเกิงจิน
อาคารบ้านเรือนทุกหลังที่อยู่ในเมืองแห่งนี้มีหน้าตาที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเป็นรูปทรงหรือวัสดุที่ถูกนำมาก่อสร้าง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดเหมือนกันเลยสักนิด เมื่อมองดูจากระยะไกล หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกไม่ต่างจากเห็นเมืองในอนาคตจากภาพยนตร์อนิเมะที่เขาเคยดู เต็มเปี่ยมไปด้วยอิสรเสรีทางจินตนาการแต่มีรสนิยม
เรือเหาะลอยผ่านท้องฟ้าเหนือตัวเมือง
“เจ้าเห็นอาคารหลังนั้นหรือไม่?”
องค์ชายหลิงหวงฉียืนอยู่บนหัวเรือ ชี้มือไปยังคฤหาสน์รูปร่างแปลกตาที่ลอยตัวอยู่บนก้อนเมฆเหนือตัวเมืองห่างออกไปไม่ไกล “อาคารหลังนั้นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ใช้สายเลือดผู้แปรธาตุ มีอีกชื่อหนึ่งว่าวิหารแห่งผู้แปรธาตุ แต่น่าเสียดายที่ประตูทางเข้าถูกปิดตายมายาวนานหลายพันปี ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติดีพอที่จะได้เข้าสู่วิหารนี้ ดังนั้นจำนวนผู้แปรธาตุจึงลดน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว”
หลินเป่ยเฉินมองวิหารขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนจานบินขนาดยักษ์และก็ต้องถอนหายใจออกมา “แต่ข้าน้อยได้ข่าวว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของอาณาจักรเกิงจินเป็นผู้สืบสายเลือดผู้แปรธาตุไม่ใช่หรือขอรับ? แม้แต่พระองค์ท่านก็ยังเข้าไปไม่ได้อีกหรือ?”
องค์ชายหลิงหวงฉีถอนหายใจ ก่อนจะตอบกลับมาว่า “แม้แต่ผู้สืบสายเลือดก็ไม่มีคุณสมบัติดีพอ และไม่ใช่เพียงวิหารแห่งผู้แปรธาตุเท่านั้น ข้าได้ยินมาว่ายังคงมีวิหารประจำสายเลือดอีกสิบเจ็ดแห่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวเข้าสู่สถานที่เหล่านั้นได้เลย วิหารศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นถูกปิดตาย และหากยังคงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จำนวนผู้ใช้สายเลือดต่าง ๆ ก็คงจะลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง”
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิด
แต่ศิษย์พี่ฮันของเขาเข้าสู่วิหารแห่งกาลเวลาได้นี่นา
หมายความว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ประจำสายเลือดต่าง ๆ มีสิทธิ์เลือกที่จะให้ผู้ใดเข้าไปที่นั่นได้สินะ
เรือเหาะของพวกเขาร่อนลงจอดบนถนนหน้าตำหนักที่พักขององค์ชายหลิงหวงฉี
กลุ่มผู้มาเยือนถูกนำตัวไปบรรจุชื่อเข้าสู่ระบบทะเบียนอาคันตุกะ
หวังจง หวังเฟิงหลิว อากวง เซียวปิง เจ้าเสืออสูรกลายพันธุ์และคนอื่น ๆ ติดตามหลินเป่ยเฉินมาทางด้านหลัง ทุกคนต่างก็มองสภาพแวดล้อมรอบกายด้วยความตื่นตาตื่นใจ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าคำว่าความสง่างาม ความสวยงามและความประณีตบรรจงอย่างสมบูรณ์แบบนั้น ไม่สามารถอธิบายถึงความงดงามที่แท้จริงของเมืองแห่งนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย
กลุ่มคนถูกพาตัวไปยังที่พักที่อยู่ด้านข้าง
มีเพียงหลินเป่ยเฉินกับองค์ชายหลิงหวงฉีเท่านั้นที่ได้มานั่งดื่มน้ำชาในตำหนักใหญ่
“ทั้งหมดนี้เป็นแผนการขององค์ชายหลง”
องค์ชายหลิงหวงฉีจิบน้ำชาก่อนกล่าวว่า “เข้าใจว่าเจ้าคงพอจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขามาบ้างแล้วกระมัง?”